โยจิ มูตะ รัฐมนตรีกระทรวงการค้าของญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ (12 ก.พ.) ว่า รัฐบาลญี่ปุ่นได้ร้องขอให้สหรัฐฯ ยกเว้นการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากญี่ปุ่นในอัตรา 25% หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการดังกล่าวกับทุกประเทศโดยไม่มีข้อยกเว้น
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า มูตะได้กล่าวในระหว่างการแถลงข่าวกับสื่อมวลชนว่า "เราจะใช้มาตรการที่จำเป็น และในขณะเดียวกันเราก็จะจับตาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับบริษัทญี่ปุ่น" ทางด้านโยชิมาสะ ฮายาชิ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นกล่าวว่า รัฐบาลได้ยื่นคำร้องขอการยกเว้นภาษีดังกล่าว ผ่านทางสถานเอกอัคราชทูตญี่ปุ่นในสหรัฐฯ
ปธน.ทรัมป์ได้ลงนามในคำประกาศเมื่อวันจันทร์ (10 ก.พ.) ให้ปรับขึ้นอัตราภาษีอะลูมิเนียมที่นำเข้าสู่สหรัฐฯ เป็น 25% จากอัตราเดิมที่ระดับ 10% โดยไม่มีข้อยกเว้น นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังได้ประกาศยกเลิกข้อยกเว้นรายประเทศและข้อตกลงตามโควตา รวมทั้งยกเลิกการยกเว้นภาษีเฉพาะผลิตภัณฑ์ (product-specific tariff) นับแสนรายการสำหรับโลหะทั้งสองชนิด ขณะที่เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวระบุว่ามาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 12 มี.ค.
"คำสั่งดังกล่าวจะทำให้การบังคับใช้มาตรการภาษีนำเข้าโลหะมีความง่ายขึ้น เพื่อให้ทุกคนเข้าใจความหมายได้อย่างชัดเจน" ปธน.ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าว และเสริมว่า "สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีในอัตรา 25% โดยไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งหมายถึงเรียกเก็บจากทุกประเทศ ไม่ว่าจะประเทศใดก็ตาม"
ในช่วงที่โจ ไบเดน ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯนั้น ประเทศคู่ค้าหลายรายของสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงญี่ปุ่น ได้รับโควต้าปลอดภาษีนำเข้า แต่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ปธน.ทรัมป์ได้ลงนามในคำประกาศเพื่อยกเลิกการให้ข้อยกเว้นดังกล่าว
มาตรการล่าสุดของปธน.ทรัมป์มีเป้าหมายที่จะช่วยเหลืออุตสาหกรรมเหล็กและอะลูมิเนียมของสหรัฐฯ ที่กำลังประสบปัญหา แต่นักลงทุนในตลาดการเงินพากันวิตกกังวลว่าจะส่งผลให้เกิดการตอบโต้จากประเทศคู่ค้าและนำไปสู่การทำสงครามการค้าที่รุนแรง
ข้อมูลจากคณะกรรมการการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ระบุว่า แคนาดาเป็นประเทศผู้ส่งออกเหล็กรายใหญ่อันดับ 1 ของสหรัฐฯ รองลงมาคือ เม็กซิโก บราซิล เกาหลีใต้ เยอรมนี ญี่ปุ่น ไต้หวัน เวียดนาม อิตาลี และจีน