ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และ อีลอน มัสก์ ที่ปรึกษาของทรัมป์ เดินหน้าลดขนาดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ในวันที่ 14 ก.พ. โดยปลดพนักงานมากกว่า 9,500 คน ซึ่งทำงานด้านการจัดการที่ดินของรัฐบาลไปจนถึงการดูแลทหารผ่านศึก
พนักงานของกระทรวงมหาดไทย, พลังงาน, กิจการทหารผ่านศึก, เกษตรกรรม รวมถึงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ของสหรัฐฯ ถูกเลิกจ้างในการปรับลดบุคลากรครั้งนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ แต่ไม่ทั้งหมด เป็นพนักงานทดลองงานในปีแรกที่มีสิทธิ์ด้านการคุ้มครองการจ้างงานน้อยกว่า
หน่วยงานบางแห่งถูกปิดการดำเนินงาน เช่น สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านการเงิน (Consumer Financial Protection Bureau) ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระ
แหล่งข่าวเปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า กรมสรรพากร (Internal Revenue Service - IRS) ของสหรัฐฯ กำลังเตรียมปลดพนักงานหลายพันคนในสัปดาห์หน้า ซึ่งอาจส่งผลให้บุคลากรของหน่วยงานลดลงก่อนถึงกำหนดเส้นตายยื่นภาษีของชาวอเมริกันในวันที่ 15 เม.ย.
การปลดพนักงานดังกล่าวนั้นเป็นจำนวนที่นอกเหนือไปจากพนักงานราว 75,000 คนที่ยอมรับข้อเสนอเงินชดเชยจากทรัมป์และมัสก์เพื่อให้ลาออกจากงานโดยสมัครใจ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 3% ของข้าราชการพลเรือนทั้งหมด 2.3 ล้านคน
ทรัมป์กล่าวว่ารัฐบาลกลางมีขนาดใหญ่เกินไป และสูญเสียเงินจำนวนมากไปกับความสูญเปล่าและการทุจริต
ปัจจุบันรัฐบาลกลางมีหนี้สินประมาณ 36 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และขาดดุลงบประมาณ 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2567 ซึ่งทั้งพรรครีพับลิกันและเดโมแครตต่างเห็นพ้องกันว่า จำเป็นต้องมีการปฏิรูป