ผลสำรวจของสำนักข่าวรอยเตอร์เผยให้เห็นว่า บริษัทญี่ปุ่นเกือบ 9 ใน 10 แห่งคาดว่านโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ จะส่งผลลบต่อธุรกิจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ อย่างญี่ปุ่น
ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่า ความเป็นไปได้ในการขึ้นภาษีนำเข้าและความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ได้ส่งผลให้มุมมองของบริษัทในญี่ปุ่นไม่สดใส โดยแม้ญี่ปุ่นจะเป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นของสหรัฐฯ แต่ก็ยังต้องพึ่งพาจีนอย่างมากทั้งในแง่ฐานการผลิตและตลาดสำคัญสำหรับเครื่องจักรและสินค้าส่งออกอื่นๆ
บริษัทญี่ปุ่นประมาณ 86% ระบุว่า มาตรการนโยบายของปธน.ทรัมป์จะส่งผลลบหรือค่อนข้างลบต่อสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ขณะที่บริษัทที่เหลือมองว่าจะส่งผลดีหรือค่อนข้างดี
ในกลุ่มบริษัทที่มองว่านโยบายของปธน.ทรัมป์ส่งผลเสียต่อธุรกิจนั้น 72% เลือกกลยุทธ์การค้า รวมถึงการปรับเพิ่มภาษีนำเข้า เป็นปัจจัยที่สร้างความเสียหายมากที่สุด ขณะที่ 26% เลือกความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นระหว่างสหรัฐฯ กับจีน
ล่าสุด เมื่อวันอังคาร (18 ก.พ.) ปธน.ทรัมป์ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ "ในระดับประมาณ 25%" ส่วนการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์และยาก็จะอยู่ในอัตราประมาณเดียวกัน หรืออาจจะสูงกว่า โดยระบุว่าอาจจะมีการประกาศอัตราภาษีนำเข้ารถยนต์ครั้งใหม่ในวันที่ 2 เม.ย.นี้
"หากอุตสาหกรรมยานยนต์ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าทั่วโลก ยอดขายเซมิคอนดักเตอร์ก็อาจได้รับผลกระทบด้วย" เจ้าหน้าที่รายหนึ่งจากบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ระบุ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบที่อาจลุกลามไปในวงกว้าง
ขณะเดียวกัน ผลสำรวจเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา ระบุว่า 73% ของบริษัทญี่ปุ่นมองว่าการกลับมาดำรงตำแหน่งของปธน.ทรัมป์ จะส่งผลเสียต่อสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ โดยปธน.ทรัมป์เพิ่งเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนที่แล้ว