แหล่งข่าวเปิดเผยกับสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้เตือนบรรดาบริษัทผลิตยาในการประชุมว่า อาจมีการเก็บภาษีนำเข้า และกล่าวว่าบริษัทต่าง ๆ ควรเร่งย้ายการผลิตจากต่างประเทศกลับมาที่สหรัฐฯ
ทรัมป์ยังไม่ได้ยืนยันที่จะผลักดันให้สภาคองเกรสเปลี่ยนแปลงโครงการกำหนดราคายาของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งทางอุตสาหกรรมยาเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลง
ท่าทีของทรัมป์ในตอนนี้อาจทำให้ความพยายามของอุตสาหกรรมยาในการหาพันธมิตรในทำเนียบขาวยากขึ้นกว่าที่ผู้บริหารคาดหวัง แม้ว่าทรัมป์มีท่าทีสนับสนุนธุรกิจ แต่เขาก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีนักกับบริษัทยาในสมัยแรกที่เป็นประธานาธิบดี โดยทรัมป์เคยกล่าวหาบริษัทเหล่านี้ว่า "เอาเปรียบ" ในการกำหนดราคายา
ทั้งนี้ ทรัมป์พบปะกับผู้บริหารจากบริษัทยาต่าง ๆ รวมถึง เดวิด ริกส์ ซีอีโอของอีไล ลิลลี่ (Eli Lilly), โรเบิร์ต เดวิส ซีอีโอของเมิร์ค (Merck), อัลเบิร์ต บอร์ลา ซีอีโอของไฟเซอร์ (Pfizer) และสตีเฟน อูเบิล ผู้นำขององค์กรล็อบบี้ที่ใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมยาเมื่อวันพฤหัสบดี (20 ก.พ.) ที่ทำเนียบขาว
ผู้บริหารบริษัทยาต่างหวังที่จะโน้มน้าวให้ทรัมป์สนับสนุนการลดทอนกฎหมายที่อนุญาตให้รัฐบาลกลางเจรจาต่อรองราคายาบางรายการ รวมถึงการสนับสนุนมาตรการเพื่อลดบทบาทของคนกลางที่อุตสาหกรรมยากล่าวหาว่าทำให้ราคายาสูงขึ้น
ด้านทรัมป์ไม่ยืนยันที่จะทำการเปลี่ยนแปลงนี้ และแสดงความกังวลว่าการปรับเปลี่ยนนโยบายกำหนดราคายาจะทำให้ความพยายามของพรรครีพับลิกันในการผ่านร่างกฎหมายภาษีซับซ้อนขึ้น
ทรัมป์กล่าวในวันศุกร์ว่า เขายังมีข้อกังวลเกี่ยวกับราคายาที่สหรัฐฯ ต้องจ่ายมากกว่าประเทศอื่น ๆ และกล่าวว่า โรเบิร์ต เอฟ เคนเนดี จูเนียร์ รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ และเมห์เมต ออซ ซึ่งได้รับการเสนอชื่อให้เป็นหัวหน้าโครงการเมดิแคร์ (Medicare) และเมดิเคด (Medicaid) ก็กำลังมุ่งปรับลดราคายา