นักลงทุนในตลาดการเงินต่างก็จับตาการรายงานผลประกอบการของบริษัทอินวิเดีย (Nvidia) ในวันพุธนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางของอุปสงค์ชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของอินวิเดีย ท่ามกลางข้อกังขาของนักลงทุนเกี่ยวกับความคุ้มค่าของการทุ่มเงินมูลค่ามหาศาลในเทคโนโลยีนี้ หลังจากบริษัทดีปซีค (DeepSeek) ของจีนเปิดตัวโมเดล AI ต้นทุนต่ำ
ก่อนหน้านี้ อินวิเดีย ซึ่งเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาด (มาร์เก็ตแคป) สูงเป็นอันดับสองของโลก ได้รับประโยชน์จากการที่บริษัทต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทุ่มเงินลงทุนในชิป AI ของอินวิเดียในช่วงสองปีที่ผ่านมา แต่การที่ดีปซีคเปิดตัวโมเดล AI ต้นทุนต่ำและมีประสิทธิภาพเมื่อไม่นานมานี้ ทำให้นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับชิป AI ที่ทันสมัยและราคาแพงของอินวิเดีย รวมทั้งเริ่มไม่มั่นใจว่าอินวิเดียจะสามารถรั้งสถานะการเป็นผู้นำด้าน AI ได้ต่อไปหรือไม่
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นักลงทุนจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของอินวิเดียในวันพุธนี้ ซึ่งจะเป็นการเปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การเปิดตัวโมเดล AI ของดีปซีค ซึ่งสร้างแรงสั่นสะเทือนต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีของสหรัฐฯ และทำให้มาร์เก็ตแคปของอินวิเดียทรุดตัวลงเกือบ 6 แสนล้านดอลลาร์เมื่อวันที่ 27 ม.ค.ที่ผ่านมา
ดีปซีคเปิดตัวโมเดล AI แบบ open-source ในเดือนธ.ค. 2567 โดยระบุว่าใช้เวลาในการพัฒนาเพียง 2 เดือน ใช้ต้นทุนไม่ถึง 6 ล้านดอลลาร์ และใช้ชิป H800s ซึ่งเป็นชิปประสิทธิภาพต่ำของอินวิเดีย
นอกจากนี้ ดีปซีคยังก้าวขึ้นเป็นแอปพลิเคชันฟรีที่มียอดดาวน์โหลดมากที่สุดในสหรัฐฯ ผ่านทาง App Store ของบริษัทแอปเปิ้ล โดยสามารถโค่นแอปพลิเคชันแชตบอต ChatGPT ของบริษัทโอเพนเอไอ (OpenAI)
"นักลงทุนมีความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับการปรากฎตัวของดีปซีค และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อความต้องการของชิป" อิวานา เดเลฟสกา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัท Spear Invest กล่าว
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของแอลเอสอีจี (LSEG) คาดการณ์ว่า อินวิเดียจะรายงานรายได้เพิ่มขึ้น 72% แตะที่ะ 3.805 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่ 4 ปีงบการเงิน 2568 ซึ่งเป็นการเติบโตที่ช้าที่สุดในรอบ 7 ไตรมาส