แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาวเปิดเผยในวันพุธ (5 มี.ค.) ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ตัดสินใจเลื่อนระยะเวลาการเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์จากแคนาดาและเม็กซิโกเป็นเวลา 1 เดือน
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากมาตรการของรัฐบาลทรัมป์ที่เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25% มีผลบังคับใช้เมื่อวันอังคารที่ 4 มี.ค.
เลวิตต์กล่าวในระหว่างการแถลงข่าวว่า ปธน.ทรัมป์ได้พูดคุยกับบริษัทฟอร์ด มอเตอร์ (Ford Motor), เจนเนอรัล มอเตอร์ส (General Motors) และสเตลแลนทิส (Stellantis) ในวันพุธ พร้อมกับกล่าวว่าการยกเว้นภาษีเป็นเวลา 1 เดือนนั้นจะครอบคลุมถึงรถยนต์ทุกแบรนด์ที่นำเข้าสู่สหรัฐฯ ภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีสหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA) ซึ่งเป็นข้อตกลงการค้าเสรีไตรภาคีที่มีผลบังคับใช้ในปี 2563
"ท่านประธานาธิบดีได้ให้การยกเว้นภาษีเป็นเวลา 1 เดือน เพื่อไม่ให้ทั้งสองประเทศเสียเปรียบทางเศรษฐกิจ" เลวิตต์กล่าว
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ผู้ผลิตรถยนต์ของสหรัฐฯ และต่างชาติได้จัดหาชิ้นส่วนและวัสดุจากห่วงโซ่อุปทานที่มีความซับซ้อน โดยกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์เหล่านี้ได้ร้องเรียนว่าพวกเขาไม่สามารถย้ายฐานการผลิตรถยนต์ไปยังสายการผลิตใหม่ในสหรัฐฯ ได้ง่ายอย่างที่ปธน.ทรัมป์ต้องการ และภาษีศุลกากรที่สูงขึ้นจะส่งผลให้ต้นทุนของทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ระบุว่า เม็กซิโก ซึ่งมีข้อได้เปรียบจากแรงงานที่ถูกกว่านั้น เป็นผู้ส่งออกรถยนต์นั่งโดยสารรายใหญ่ที่สุดไปยังสหรัฐฯ ในปี 2567 รองลงมาคือญี่ปุ่น เกาหลีใต้ แคนาดา และเยอรมนี
ทั้งนี้ ข่าวปธน.ทรัมป์ตัดสินใจเลื่อนเวลาการเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์จากแคนาดาและเม็กซิโกออกไป 1 เดือนเป็นปัจจัยหนุนดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กพุ่งขึ้นกว่า 400 จุดในวันพุธ โดยหุ้นกลุ่มบริษัทผลิตรถยนต์ได้แรงหนุนจากข่าวดังกล่าวเช่นกัน โดยหุ้นฟอร์ด มอเตอร์ พุ่งขึ้น 5.8% หุ้นจีเอ็ม พุ่งขึ้น 7.2% หุ้นเทสลา พุ่งขึ้น 2.6% หุ้นสเตลแลนทิส ทะยานขึ้น 9.2%