อินโดนีเซียเตรียมเสนอปรับขึ้นค่าสิทธิ (royalty) ที่เรียกเก็บจากบริษัทเหมืองแร่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการคลังสาธารณะซึ่งกำลังเผชิญแรงกดดันจากแผนการใช้จ่ายของประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต
รายงานการปรึกษาหารือสาธารณะที่เผยแพร่ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาระบุว่า กระทรวงพลังงานและทรัพยากรแร่อินโดนีเซียกำลังพิจารณาปรับขึ้นภาษีที่เรียกเก็บจากการผลิตแร่ ตั้งแต่ทองแดงไปจนถึงถ่านหิน ซึ่งจะส่งผลให้ค่าสิทธิที่เคยเก็บในอัตราคงที่ อาจปรับขึ้นหากราคาแร่ชนิดนั้น ๆ สูงขึ้น
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ข้อเสนอดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่รัฐบาลอินโดนีเซียกำลังเผชิญกับค่าใช้จ่ายมหาศาลของโครงการริเริ่มที่ปธน.ปราโบโวประกาศไว้ ซึ่งได้แก่ โครงการแจกอาหารกลางวันฟรีแก่นักเรียน และกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติดานันตารา (Danantara) โดยกระทรวงต่าง ๆ ถูกขอให้ปรับลดงบประมาณเพื่อเป็นทุนสนับสนุนสองนโยบายดังกล่าวที่มีมูลค่ารวมหลายพันล้านดอลลาร์ หลังจากข้อเสนอปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มถูกลดทอนลงจากแผนที่วางไว้
สำหรับภาคอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจอินโดนีเซียนั้น การขึ้นภาษีในช่วงเวลานี้ถือเป็นการเพิ่มแรงกดดันให้กับบริษัทเหมืองแร่ โดยราคานิกเกิลและถ่านหิน ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสองอันดับแรกของประเทศ ทรุดตัวลงอย่างต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว และทำให้ผู้ผลิตบางรายต้องพิจารณาลดกำลังการผลิตลง
นิกเกิล ซึ่งปัจจุบันถูกเก็บภาษีการผลิตแร่ในอัตราคงที่ 10% จะถูกเรียกเก็บเพิ่มขึ้นเป็น 14% - 19% ขึ้นอยู่กับราคาอ้างอิงที่รัฐบาลเป็นผู้กำหนด ขณะที่ภาษีของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยโรงหลอม เช่น นิกเกิลผสมเหล็ก (ferronickel) และนิกเกิลผสมเหล็กเกรดต่ำ (NPI) จะถูกปรับเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งจะเพิ่มแรงกดดันด้านต้นทุนให้กับโรงงานบางแห่งที่ต้องลดการผลิตลงอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว
ไรอัน เดวิส นักวิเคราะห์ของซิตี้กรุ๊ป ระบุในบันทึกข้อความว่า การขึ้นค่าสิทธิอาจส่งผลกระทบต่อการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมปลายน้ำของอินโดนีเซีย
ทั้งนี้ ค่าสิทธิที่เก็บจากการผลิตดีบุก ทองแดง และทองก็จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่บริษัทเหมืองเผชิญจะแตกต่างออกไปตามใบอนุญาตแต่ละประเภท โดยบริษัทเหมืองบางแห่ง เช่น พีที อาดาโร อันดาลัน อินโดนีเซีย (PT Adaro Andalan Indonesia) อาจชำระค่าสิทธิในอัตราที่ต่ำกว่า