นักวิเคราะห์เตือนว่า สหรัฐมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีนี้ โดยได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของการใช้มาตรการตั้งกำแพงภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ทั้งนี้ ความเสี่ยงของ "Trumpcession" (Trump + recession) หรือเศรษฐกิจถดถอยจากนโยบายทรัมป์ ได้เพิ่มขึ้นในระยะนี้ หลังจากที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ปธน.ทรัมป์ได้ตัดสินใจระงับการเรียกเก็บภาษีจากสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกเป็นครั้งที่ 2
นอกจากนี้ ในการให้สัมภาษณ์ต่อสำนักข่าว Fox News ที่มีการออกอากาศวานนี้ (9 มี.ค.) ผู้ดำเนินรายการถามว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอยในปีนี้หรือไม่ ปธน.ทรัมป์ไม่ได้ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่สหรัฐจะเผชิญภาวะถดถอย และกล่าวเตือนว่า ภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนจะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับช่วงเวลาที่เศรษฐกิจสหรัฐกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนผ่าน และแนวโน้มเงินเฟ้อที่ดีดตัวขึ้น
นักวิเคราะห์จากหลายสำนักพากันปรับลดประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐ โดยเตือนว่าการทำสงครามการค้าของปธน.ทรัมป์กำลังสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจสหรัฐมากกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้
ทั้งนี้ โกลด์แมน แซคส์ประกาศปรับเพิ่มโอกาสที่สหรัฐจะเผชิญภาวะถดถอยเป็น 20% จากเดิมที่ระดับ 15% โดยได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของปธน.ทรัมป์และเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ซึ่งกระทบต่อการจ้างงานและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ มอร์แกน สแตนลีย์ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสหรัฐในปีนี้ สู่ระดับ 1.5% จากเดิมที่ระดับ 1.9% เนื่องจากผลกระทบของนโยบายการค้าและการควบคุมผู้อพยพเข้าประเทศมีความรุนแรงมากกว่าที่ประเมินไว้
ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา เปิดเผยแบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐหดตัว -2.4% ในไตรมาส 1/2568 หลังจากก่อนหน้านี้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว +2.3% ในไตรมาสดังกล่าว