นักเศรษฐศาสตร์จากโกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) เปิดเผยว่า ญี่ปุ่นจำเป็นต้องปรับขึ้นค่าจ้างอย่างน้อย 3% ในอีกสองปีข้างหน้า หากต้องการบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อย่างยั่งยืน
ทีมนักเศรษฐศาสตร์ของโกลด์แมน แซคส์ ซึ่งนำโดยอากิระ โอทานิ ระบุในรายงานเมื่อวันจันทร์ (17 มี.ค.) ว่า ญี่ปุ่นจำเป็นต้องปรับขึ้นค่าจ้างที่เป็นตัวเงิน (Nominal Wages) ประมาณ 3% - 3.1% ในปี 2568 และ 3.3% - 3.4% ในปีถัดไป เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางเงินเฟ้อที่ BOJ คาดการณ์ไว้
รายงานของโกลด์แมน แซคส์ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นของการปรับค่าจ้างให้สูงขึ้น เพื่อสร้างวงจรเศรษฐกิจดีที่ทั้งในด้านรายได้และเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นควบคู่กัน ซึ่งจะเป็นเงื่อนไขสนับสนุนการดำเนินนโยบายคุมเข้มด้านการเงินของ BOJ ขณะที่ข้อมูลจากกระทรวงแรงงานญี่ปุ่นระบุว่า ค่าจ้างของญี่ปุ่นในปี 2567 เพิ่มขึ้นเพียง 2.8%
อัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 2% หรือสูงกว่านั้นมานานเกือบสามปี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากเงินเยนที่อ่อนค่าทำให้ต้นทุนการนำเข้าสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม BOJ ชี้ว่าแนวโน้มเงินเฟ้อพื้นฐาน (underlying inflation) ยังคงต่ำกว่าเป้าหมายที่ระดับ 2% แม้จะมีสัญญาณการปรับตัวเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้นก็ตาม
นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์ของโกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่า BOJ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยปีละประมาณสองครั้ง โดยคาดว่าการขึ้นดอกเบี้ยครั้งต่อไปอาจเกิดขึ้นในเดือนก.ค.ปีนี้
ทั้งนี้ BOJ มีกำหนดแถลงมติการประชุมในวันพรุ่งนี้ (19 มี.ค.) ขณะที่ตลาดคาดการณ์ว่าคณะกรรมการ BOJ จะตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 0.50% เนื่องจากยังกังวลเรื่องความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและความตึงเครียดทางการค้า