อินเดียซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กกล้ารายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลก กำลังวางแผนเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กส่วนใหญ่ในอัตรา 12% ซึ่งถือเป็นประเทศล่าสุดในบรรดาประเทศต่าง ๆ ที่พยายามหาทางปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศของตัวเอง
การตัดสินใจเบื้องต้นที่เผยแพร่ออกมาเมื่อวันอังคาร (18 มี.ค.) ระบุว่า กระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมของอินเดียเสนอให้มีการเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราดังกล่าวเป็นเวลา 200 วัน โดยคณะกรรมาธิการการค้าของกระทรวงฯ ได้เปิดให้มีการแสดงความคิดเห็นก่อนจะมีการพิจารณาขั้นสุดท้ายในภายหลัง
รัฐบาลอินเดียระบุในข้อเสนอแนะว่า "สถานการณ์ในขณะนี้ถือว่าวิกฤติ หากการดำเนินมาตรการป้องกันเฉพาะกิจล่าช้าไปแม้แต่นิดเดียว ก็อาจก่อให้เกิดความเสียหายที่ยากจะแก้ไข"
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ภาษีนำเข้าที่เรียกว่าภาษีปกป้อง (safeguard duty) อาจมีผลบังคับใช้ในช่วงเวลาที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กำหนดอัตราภาษีนำเข้าเป็นวงกว้าง ซึ่งสร้างความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าและบีบให้อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทั่วโลกต้องปรับเปลี่ยนเส้นทางการค้าใหม่ โดยอินเดีย รวมถึงเวียดนาม เป็นหนึ่งในบรรดาประเทศผู้ผลิตของเอเชียที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วซึ่งอาจเผชิญกับปัญหาเหล็กกล้าล้นตลาด
อินเดียกลายเป็นอีกหนึ่งประเทศเช่นเดียวกับซาอุดีอาระเบีย ตลอดจนเวียดนาม และชิลี ที่ดำเนินมาตรการทางการค้าเพื่อสกัดกั้นการไหลเข้าของสินค้าราคาถูก อันเกิดจากปริมาณเหล็กกล้าที่เพิ่มขึ้นของจีน โดยผู้ผลิตของจีนพึ่งพาการส่งออกเป็นอย่างมาก ส่งผลให้มีมาตรการการค้าต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายในปี 2567 แม้ว่าผู้ผลิตเหล็กกล้าของจีนลดกำลังการผลิตลงแล้วก็ตาม แต่จีนยังคงผลิตเหล็กกล้าได้มากกว่าความต้องการภายในประเทศเป็นอย่างมาก