BYD บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) รายใหญ่ของจีน แจ้งผลประกอบการในปีที่แล้วต่อตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้นเมื่อวานนี้ (24 มี.ค.) โดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งของรถยนต์ EV ทั้งในตลาดจีนและต่างประเทศ
ทั้งนี้ BYD เปิดเผยว่า บริษัทมีกำไรสุทธิพุ่งขึ้น 34% สู่ระดับ 4.025 หมื่นล้านหยวน หรือราว 5.6 พันล้านดอลลาร์ ในปีที่แล้ว
นอกจากนี้ บริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้น 29.02% สู่ระดับ 7.771 แสนล้านหยวน หรือราว 1.07 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่เทสลามียอดขายเพียง 9.77 หมื่นล้านดอลลาร์
BYD เปิดเผยว่า บริษัทมียอดขายรถยนต์ 4.27 ล้านคันในปีที่แล้ว พุ่งขึ้น 41% เมื่อเทียบรายปี โดยยอดขายรถยนต์ในต่างประเทศอยู่ที่ระดับ 417,000 คัน พุ่งขึ้น 72%
ธุรกิจรถยนต์และที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์สร้างรายได้ 6.1738 แสนล้านหยวน พุ่งขึ้น 27.7% และคิดเป็นสัดส่วน 79.45% ของรายได้ทั้งหมด ส่วนธุรกิจสมาร์ทโฟนและธุรกิจอื่น ๆ สร้างรายได้ 1.5961 แสนล้านหยวน พุ่งขึ้น 34.6% และคิดเป็นสัดส่วน 20.54% ของรายได้ทั้งหมด
นอกจากนี้ แผนกวิจัยและพัฒนา (R&D) ใช้จ่ายเงิน 5.42 หมื่นล้านหยวนในปีที่แล้ว พุ่งขึ้น 36% ส่งผลให้แผนก R&D ใช้เงินลงทุนสะสมมากกว่า 1.80 แสนล้านหยวน
ขณะเดียวกัน BYD ตั้งเป้ายอดขายรถยนต์ในปีนี้ราว 5.5 ล้านคัน ซึ่งรวมถึง 800,000 คันในต่างประเทศ
ขณะนี้ BYD ยังไม่ได้มีการจำหน่ายรถยนต์ในสหรัฐ เนื่องจากเผชิญกับการตั้งกำแพงภาษีต่อบริษัทรถยนต์ของจีน แต่ BYD สามารถทำยอดขายจำนวนมากในตลาดยุโรป และในเอเชีย ซึ่งได้แก่ ไทยและสิงคโปร์
แม้ว่า BYD มีรายได้แซงหน้าเทสลาในปีที่แล้ว แต่ทางบริษัทยังคงเป็นรองเทสลาในแง่มูลค่าทางตลาด และกำไรสุทธิ โดยเทสลามีมูลค่าตลาดสูงถึง 8 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่ BYD มีมูลค่าเพียง 1.57 แสนล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ เทสลามีกำไรสุทธิในปีที่แล้วที่ระดับ 7.6 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ BYD มีเพียง 5.6 พันล้านดอลลาร์