สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวนอกรอบการประชุมประจำปีของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลกในวันพุธ (23 เม.ย.) ว่า เขาเชื่อว่าความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนจะผ่อนคลายลง อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่าทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้เริ่มต้นการเจรจาการค้าอย่างเป็นทางการร่วมกัน และยอมรับว่าอาจเป็นภารกิจที่หนักหน่วง
เบสเซนต์กล่าวว่า ปธน.ทรัมป์ไม่มีแผนที่จะเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อนในการลดภาษีศุลกากรเพื่อบรรเทาความขัดแย้งในสงครามการค้าระหว่างสองประเทศ โดยเขามองว่าสถานการณ์การค้าทวิภาคีระหว่างสหรัฐฯ กับจีนในขณะนี้เป็นการคว่ำบาตรสองทาง แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่คิดว่าการคว่ำบาตรจะเป็นทางออกในระยะยาว
ทั้งนี้ เบสเซนต์กล่าวว่า เป้าหมายของรัฐบาลทรัมป์ไม่ใช่การแยกเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และจีนออกจากกัน ขณะเดียวกัน เขาคาดหวังว่าเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศจะกลับมามีความสมดุลอีกครั้ง ซึ่งจะทำให้จีนมีการบริโภคมากขึ้น และสหรัฐฯ มีการผลิตมากขึ้น
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 400 จุดในการซื้อขายเมื่อวันพุธ (23 เม.ย.) หลังจากปธน.ทรัมป์ส่งสัญญาณถึงความพร้อมที่จะคลี่คลายข้อพิพาทด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน โดยเขากล่าวกับผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวเมื่อวันอังคาร (22 เม.ย.) ว่า ภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากสินค้าจีนในอัตรา 145% นั้น ถือว่าอยู่ในระดับที่สูงมาก แต่สหรัฐฯ จะไม่เรียกเก็บภาษีที่สูงเช่นนั้น โดยจะปรับลดลงต่ำกว่านั้นมาก แต่ไม่ถึงระดับ 0%
อย่างไรก็ดี ดัชนีดาวโจนส์ลดช่วงบวกในระหว่างวัน เนื่องจากการแสดงความเห็นของเบสเซนต์ทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจว่าข้อพิพาทด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนคลี่คลายลงหรือไม่
นอกจากนี้ ความเห็นของเบสเซนต์ยังส่งผลให้บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นเอเชียเป็นไปอย่างผันผวนในช่วงเช้าวันนี้ด้วย