รายงานระบุว่า ความเคลื่อนไหวสำคัญๆที่เกิดขึ้นในแวดวงน้ำมันทั่วโลกระยะนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคอเมริกา "จะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสถานะของตะวันกลางในฐานะผู้นำด้านพลังงานในระยะยาว"
ภูมิภาคอ่าวเปอร์เซีย ซึ่งมีแหล่งน้ำมันสำรองคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 36% ของทั้งโลก จะไม่ได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ที่หดตัว เนื่องจากความต้องการพลังงานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
มีการคาดการณ์ว่า สหรัฐอเมริกาจะขึ้นแท่นผู้นำการผลิตน้ำมันโลกภายในปี 2560 อีกทั้งยังคาดการณ์กันด้วยว่า สหรัฐจะกลายเป็นผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติภายในปี 2578 อันเนื่องมาจากการค้นพบก๊าซธรรมชาติในชั้นหินดินดาน
อย่างไรก็ตาม คาดว่ากลุ่มประเทศในเอเชียจะบริโภคน้ำมันที่ผลิตใน 6 ประเทศสมาชิกสภาความร่วมมือแห่งอ่าวอาหรับ สูงถึง 90% โดยประเทศสมาชิกดังกล่าวได้แก่ซาอุดิอาระเบีย คูเวต บาห์เรน กาตาร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และโอมาน
โอเรียนท์ แพลเน็ทชี้ว่า สัดส่วนน้ำมันที่สหรัฐนำเข้าจากตะวันออกกลางนั้นมีปริมาณน้อยกว่าที่ใครอาจคาดคิด โดยสหรัฐมียอดนำเข้าน้ำมันจากตะวันออกกลางเพียง 16% เท่านั้น
นอกจากจะมีแหล่งสำรองน้ำมันดิบที่ใหญ่ที่สุดในโลกแล้ว ภูมิภาคตะวันออกกลางยังมีความใกล้ชิด ตลอดจนมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่แข็งแกร่งกับจีนและอินเดีย ซึ่งเป็นผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ของโลก โดยโอเรียนท์ แพลเน็ทระบุว่า "แค่อุปสงค์น้ำมันของจีนเพียงประเทศเดียวก็มีแนวโน้มว่าจะขยายตัวเป็นครึ่งหนึ่งของทั่วโลกในอีก 5 ปีข้างหน้า" สำนักข่าวซินหัวรายงาน