เลขาฯโอเปกพูดชัด ยังไม่ผลิตน้ำมันเพิ่ม หวังราคาดิ่งเขี่ย Shale Oil พ้นตลาด

ข่าวเศรษฐกิจ Monday March 9, 2015 19:46 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอับดุลลาห์ อัล-บาดรี เลขาธิการกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) กล่าวว่า โอเปกไม่ควรลดกำลังการผลิตเพื่อไปชดเชยให้ Shale Oil ซึ่งมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่า ซึ่งขณะนี้มีการผลิตเป็นจำนวนมากในอเมริกาเหนือ

Shale Oil คือ เชื้อเพลิงชนิดหนึ่งที่อยู่ในรูปแบบของหินดินดาน โดยมีอินทรีย์สารที่เรียกว่า เคโรเจน (Kerogen) ปะปนอยู่ในเนื้อหิน มักมีสีน้ำตาลเข้มจนถึงดำ และเกิดจากซากพืชซากสัตว์กับตะกอนขนาดเล็กที่สะสมตัวอยู่ในแอ่งตะกอนทับถมกันจนเป็นเวลานานหลายล้านปี ความดันและอุณหภูมิก็ทำให้เกิดการแปรสภาพทำให้เกิดลักษณะยางเหนียวที่ประกอบไปด้วยไฮโดรคาร์บอนซึ่งเมื่อนำ Shale Oil ไปเผาที่อุณหภูมิประมาณ 500 องศาเซลเซียส ก็จะได้น้ำมันและก๊าซไฮโดรคาร์บอนออกมา

มนุษย์รู้จัก Shale Oil มานานแล้ว แต่เนื่องจากข้อจำกัดทางเทคโนโลยีบวกกับต้นทุนการผลิตที่สูง เราจึงมักผลิตปิโตรเลียมจากน้ำมันดิบเหลว (Crude Oil)

การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นเมื่อ10 ปีที่แล้วเมื่อสหรัฐเป็นประเทศแรกผู้ค้นพบเทคโนโลยีที่เรียกว่า fracking ซึ่งเป็นกรรมวิธีการผลิตน้ำมันด้วยการผสานสองเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน ซึ่งได้แก่ เทคโนโลยีที่เรียกว่า Hydraulic Fracturing และ Horizontal Drilling โดยจะมีการฉีดน้ำผสมสารเคมีและทรายจำนวนมหาศาลลงใต้ดินเพื่อทำให้เกิดรอยแตกในชั้นหิน เป็นเหตุให้ Shale Oil ที่ถูกกักเก็บอยู่ระหว่างชั้นหินหลุดออกมา กระบวนการดังกล่าวไม่กระทำเฉพาะในแนวดิ่งเท่านั้น แต่ยังกระทำในแนวราบด้วย เราจึงสามารถขุดเจาะได้บริเวณกว้าง ทำให้ได้ปิโตรเลียมจำนวนมาก

แหล่ง Shale Oil ในสหรัฐ ถือเป็นแหล่งที่มีความสำคัญ เพราะนอกจากมีปริมาณมากแล้ว ยังสามารถดำเนินการผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ด้วย ซึ่งเหตุที่สหรัฐสามารถใช้ประโยชน์จากแหล่งปิโตรเลียมดังกล่าวก่อนประเทศอื่นมาจากเหตุผลหลายอย่าง ประการแรกคือบริษัทเอกชนประสบความสำเร็จคิดค้นเทคโนโลยี fracking ก่อนประเทศอื่นๆ ประการที่สองคือกฎหมายสหรัฐให้ Shale Oil ที่อยู่ใต้พื้นดินตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของที่ดิน จึงเอื้อต่อการลงทุนของบริษัทเอกชน และดึงมาใช้ประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว ประการที่สามคือ สหรัฐมีโครงสร้างระบบท่อรองรับอยู่แล้ว และมีแหล่งน้ำมากเพียงพอซึ่งจำเป็นต้องใช้ในขั้นตอน hydraulic fracturing

เนื่องจาก Shale Oil ที่ผ่านกระบวนการเคมีแล้ว จะสามารถนำไปใช้งานได้ไม่ต่างจาก Crude Oil จึงเท่ากับว่า ประเทศผู้ผลิต Shale Oil กำลังท้าชนกับกลุ่มประเทศผู้ผลิต Crude Oil อย่างโอเปกแบบซึ่งๆหน้า

ตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นมาจนถึงกลางปี 2014 ราคาน้ำมันดิบเบรนท์อยู่ในช่วงสูงกว่า 100 ดอลลาร์เกือบตลอดเวลา ทำให้ผู้ผลิต Shale Oil ฟันกำไรจากส่วนต่างของต้นทุนและราคาได้ประมาณ 35-45 ดอลลาร์ได้อย่างเต็มที่เสมอมา เป็นผลให้ปริมาณการผลิต Shale Oil ของโลก โดยเฉพาะจากสหรัฐเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 4-5 ปีมานี้ และได้มีอิทธิพลต่อตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ

การผลิตน้ำมันจาก Shale Oil มีราคาต้นทุนสูงกว่าการผลิต Crude Oil โดยอยู่ที่ 40-60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ต้นทุนของ Crude oil อยู่ที่ 20-30 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งโอเปกก็รู้ถึงจุดอ่อนของ Shale Oil นี้ดี จึงเป็นที่มาของการนิ่งเฉยปล่อยให้ราคาน้ำมันดิ่งลงเรื่อยๆ โดยหวังว่าจะทำให้บริษัทที่ผลิต Shale Oil ขาดทุน และออกจากตลาด เหลือเพียงโอเปกเป็นเจ้าครองตลาดน้ำมันโลกต่อไป

และจากการที่โอเปกต้องการทุบ Shale Oil ให้ปิดฉากการผลิต จึงคาดว่าโอเปกจะต้องรักษาสภาวะน้ำมันล้นตลาดต่อไป เพื่อกดราคาน้ำมันในตลาดโลกให้ต่ำไปอีกระยะหนึ่ง หลังจากนั้น จึงจะกลับมาหาทางกระตุ้นราคาน้ำมัน

โกลด์แมน แซคส์ ออกรายงานระบุว่า ราคาน้ำมันมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลง สวนทางการพุ่งขึ้นในระยะนี้ เนื่องจากจะถูกกดดันจากปริมาณสต็อกน้ำมันในตลาดโลกที่ยังคงพุ่งสูง โดยคาดว่าราคาน้ำมันสหรัฐมีแนวโน้มดิ่งลงแตะระดับ 40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นเกือบ 1 ใน 3 ระหว่างเดือนม.ค.และก.พ. ขณะที่การผลิตน้ำมันในตะวันออกกลางเผชิญภาวะชะงักงันจากความไม่สงบในภูมิภาค ขณะที่อุปสงค์เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาว และโรงกลั่นมีมาร์จิ้นกำไรสูงขึ้น

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังระบุว่า การแข็งค่าของดอลลาร์เป็นสาเหตุสำคัญที่กดดันราคาน้ำมัน หลังจากที่ดอลลาร์พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 11 ปีครึ่ง จากการคาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานสหรัฐที่เพิ่มขึ้นเกินคาด จะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆนี้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ