บีพี พีแอลซี บริษัทพลังงานรายใหญ่ของอังกฤษ คาดการณ์ว่า บริษัทจะเสียค่าทำบัญชีประมาณ 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในไตรมาสสี่ อันเป็นผลจากแผนปฏิรูปภาษีของสหรัฐ แต่ในระยะยาวนั้นคาดว่าจะมีรายได้มากขึ้นจากกฎหมายที่เอื้อต่อภาคธุรกิจนี้
ข่าวประชาสัมพันธ์ของบีพี ระบุว่า "บีพีคาดการณ์ว่า รายได้หลังหักภาษีในสหรัฐจะได้รับประโยชน์จากแผนปฏิรูปภาษีเงินได้นิติบุคคลของสหรัฐที่เพิ่งมีผลบังคับใช้ไม่นานมานี้ โดยส่วนใหญ่เป็นผลจากการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจากเดิม 35% เหลือ 21% (มีผลวันที่ 1 ม.ค. 2561)"
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า บริษัทบีพี ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ประจำสหรัฐอเมริกาอยู่ที่เมืองฮิวสตัน เตรียมรายงานผลประกอบการไตรมาสสี่วันที่ 6 ก.พ.นี้
ด้านบริษัทรอยัล ดัทช์ เชลล์ ของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ประจำสหรัฐอเมริกาอยู่ที่เมืองฮิวสตันเช่นกัน ได้ออกประกาศในทำนองเดียวกันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีวงเงิน 1.5 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.ที่ผ่านมา ตามคำสัญญาก่อนหน้านี้ที่ว่าเขาจะมอบการปรับลดภาษีครั้งใหญ่แก่ชาวอเมริกันเป็นของขวัญวันคริสต์มาส
ร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีขั้นสุดท้าย มาจากการรวมเนื้อหาของร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีที่ผ่านการอนุมัติของวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรก่อนหน้านี้ โดยร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีขั้นสุดท้ายจะยังคงจำนวนขั้นบันไดของการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไว้ที่ 7 ขั้น คือที่ระดับ 10%, 12%, 22%, 24%, 32%, 35% และ 37% โดยลดอัตราภาษีขั้นสูงสุดสู่ระดับ 37% จากระดับ 39.6% ขณะเดียวกัน จะปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ลงสู่ระดับ 21% จากระดับ 35% โดยมีผลบังคับใช้ทันทีในวันที่ 1 ม.ค. 2561 แทนที่จะชะลอออกไปอีก 1 ปีตามร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของวุฒิสภา
ร่างกฎหมายดังกล่าวถือเป็นการปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ที่สุดของสหรัฐนับตั้งแต่ปี 2529 หรือกว่า 30 ปี และถือเป็นชัยชนะครั้งแรกของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และพรรครีพับลิกันในสภาคองเกรสนับตั้งแต่ที่ปธน.ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งในเดือนม.ค.