ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การทำสงครามระหว่างสหรัฐและอิหร่านจะส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ โดยอาจดีดตัวแตะระดับ 200 ดอลลาร์/บาร์เรล
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ทวีตข้อความเตือนนายฮัสซัน รูฮานี ประธานาธิบดีอิหร่าน ว่า "อย่าได้ข่มขู่สหรัฐอีกแม้แต่ครั้งเดียว ไม่เช่นนั้นคุณจะต้องเผชิญกับความเจ็บปวดกับผลของการกระทำที่รุนแรงในระดับที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ สหรัฐไม่ใช่ประเทศที่จะอดทนต่อคำพูดที่บ้าคลั่งของคุณที่สะท้อนถึงความรุนแรงและความตายอีกต่อไป จงระวังให้ดี!"
ปธน.ทรัมป์ทวีตข้อความดังกล่าว หลังจากที่นายรูฮานีกล่าวว่า "อิหร่านใช้อำนาจอย่างยับยั้งชั่งใจ และเราจะไม่ต่อสู้หรือทำสงครามกับผู้ใด แต่ศัตรูจะต้องเข้าใจว่าการทำสงครามกับอิหร่านจะเป็นการทำสงครามที่สร้างความเสียหายมากกว่าสงครามที่เคยเกิดขึ้น"
นอกจากนี้ นายรูฮานียังกล่าวว่า "คุณทรัมป์ เราเป็นชาติที่มีศักดิ์ศรี และเป็นผู้ดูแลความปลอดภัยในการเดินเรือในภูมิภาค อย่าได้เล่นกับหางราชสีห์ แล้วคุณจะเสียใจ"
ขณะเดียวกัน อิหร่านยังได้ขู่ปิดช่องแคบฮอร์มุซ หากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐกระทบต่อการส่งออกของอิหร่าน
นายจอห์น คิลดัฟฟ์ ผู้ก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ อเกน แคปิตัล กล่าวว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์กำลังใกล้แตะระดับ 90 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐไม่มีแนวโน้มที่จะให้การผ่อนปรนสำหรับประเทศจำนวนมากนักจากมาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน โดยเจ้าหน้าที่สหรัฐระบุว่าบางประเทศจะได้รับการผ่อนปรนเป็นรายกรณีให้สามารถนำเข้าน้ำมันอิหร่าน หากสหรัฐตัดสินใจคว่ำบาตรอิหร่าน
นายคิลดัฟฟ์กล่าวว่า หากอิหร่านทำการปิดช่องแคบฮอร์มุซ ราคาน้ำมันก็จะพุ่งขึ้น และหากเกิดสงครามระหว่างสหรัฐและอิหร่าน ราคาก็จะพุ่งแตะ 150 ดอลลาร์ หรือ 200 ดอลลาร์ เนื่องจากตลาดโลกจะเกิดภาวะขาดแคลนน้ำมัน
ขณะนี้ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์อยู่ที่ราวระดับ 73 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากที่เคยทะยานแตะระดับ 147 ดอลลาร์/บาร์เรลในปี 2551