สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า มีโรงงานไฟฟ้าถ่านหินของสหรัฐปิดกิจการเป็นจำนวนมากในปี 2562 แม้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พยายามให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมนี้ก็ตาม
EIA รายงานว่า บริษัทผลิตไฟฟ้าจากถ่านหิน ซึ่งมีกำลังผลิตรวมกันราว 15,100 เมกกะวัตต์ (MW) และจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับ 15 ล้านครัวเรือนนั้น ได้ปิดกิจการลง ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดอันดับสอง รองจากการปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินกำลังผลิตรวม 19,300 MW เมื่อปี 2558 ในสมัยรัฐบาลของประธานาธิบดีบารัค โอบามา
ทั้งนี้ การผลิตไฟฟ้าพลังงานถ่านหินได้ถูกแทนที่ด้วยการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติและพลังงานทดแทน ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นสาเหตุสำคัญของภาวะโลกร้อน
อุตสาหกรรมถ่านหินตกต่ำลงอย่างรุนแรงมานานนับ 10 ปี โดยได้รับผลกระทบจากการแข่งขันของก๊าซที่มีปริมาณมากและราคาถูก รวมถึงพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ประกอบกับการที่ภาคสาธารณะมีความใส่ใจมากขึ้นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากการเผาไหม้ถ่านหิน
อย่างไรก็ตาม ปธน.ทรัมป์กลับไม่ให้ความสำคัญกับภัยคุกคามของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และได้พยายามที่จะฟื้นฟูอุตสาหกรรมถ่านหินเพื่อทำตามสัญญาที่ให้ไว้ในระหว่างการหาเสียงจากรัฐที่ทำธุรกิจเหมืองถ่านหิน เช่น เวสต์เวอร์จิเนียร์ และ ไวโอมิ่ง แต่ถึงกระนั้น ดูเหมือนว่าการสนับสนุนของทรัมป์ก็ยังไม่สามารถช่วยพยุงอุตสาหกรรมได้