สำนักงานพลังงานสากล (IEA) เปิดเผยในวันศุกร์ (11 มิ.ย.) ว่า ทั่วโลกจะต้องการน้ำมันมากขึ้นจากกลุ่มโอเปกพลัส เนื่องจากความต้องการน้ำมันทั่วโลกจะเริ่มกลับสู่ระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ภายในช่วงสิ้นปีหน้า โดยก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่สัปดาห์ IEA ระบุว่า จะต้องปรับลดการผลิตน้ำมันในระยะยาวเพื่อลดการปล่อยมลพิษ
"โอเปกพลัสจำเป็นต้องเพิ่มการผลิตน้ำมันเพื่อให้ตลาดโลกมีปริมาณน้ำมันที่เพียงพอ" IEA ระบุ และเสริมว่า ความต้องการน้ำมันที่เพิ่มขึ้นและนโยบายระยะสั้นของประเทศต่างๆนั้น ตรงกันข้ามกับการเรียกร้องของ IEA ก่อนหน้านี้ให้ยุติการลงทุนด้านการผลิตน้ำมัน, ก๊าซ และถ่านหินในรายงานที่เปิดเผยในเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา
IEA ระบุในรายงานเรื่องน้ำมันรายเดือนว่า "ในปี 2565 กลุ่มโอเปกพลัสซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 24 ชาติที่นำโดยซาอุดีอาระเบียและรัสเซีย จะต้องปรับเพิ่มการผลิตน้ำมันดิบอีก 1.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ในเดือนก.ค. 2564-มี.ค. 2565"
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวอยู่ใกล้ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 ปีที่ราว 73 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันศุกร์ และปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 3 แล้วโดยได้แรงหนุนจากความเชื่อมั่นเกี่ยวกับการฟื้นตัวของอุปสงค์น้ำมัน
กลุ่มโอเปกพลัสได้ตกลงกันในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมาว่าจะค่อยๆ ยอมให้มีการปรับเพิ่มการผลิตน้ำมันตั้งแต่เดือนเม.ย.ถึงก.ค. และได้ยืนยันการตัดสินใจดังกล่าวอีกครั้งในการประชุมเมื่อวันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา
IEA ระบุว่า การรองรับความต้องการน้ำมันที่ฟื้นตัวนั้นไม่มีแนวโน้มที่จะเป็นปัญหา โดยคาดว่าโอเปกพลัสยังคงมีกำลังการผลิตน้ำมันสำรองอีก 6.9 ล้านบาร์เรลต่อวันหลังจากเดือนก.ค. และการเจรจาข้อตกลงด้านนิวเคลียร์ระหว่างอิหร่านกับประเทศมหาอำนาจของโลก อาจทำให้อิหร่านสามารถส่งออกน้ำมันได้อีกครั้ง หากสหรัฐยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร
IEA คาดว่า ความต้องการน้ำมันทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 5.4 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีนี้ และเพิ่มขึ้นอีก 3.1 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีหน้า หลังจากที่ความต้องการน้ำมันทรุดตัวลงรุนแรงที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่ 8.6 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีที่แล้ว เนื่องจากประเทศต่างๆ ทำการชัตดาวน์เศรษฐกิจท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วโลก