นายจอห์น ดริสคอลล์ นักวิเคราะห์จากบริษัท JTD Energy Services คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มพุ่งขึ้นแตะระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากความต้องการพลังงานที่สูงขึ้นในช่วงฤดูหนาว และจากการที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ยังคงยึดมั่นในข้อตกลงด้านการผลิต
ในการประชุมเมื่อวันที่ 4 ต.ค. โอเปกพลัสประกาศเจตนารมณ์ที่จะยึดมั่นตามข้อตกลงเดิมในการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเพียง 400,000 บาร์เรล/วันในแต่ละเดือน แม้ว่าถูกกดดันจากนานาประเทศให้เพิ่มกำลังการผลิตมากกว่าระดับดังกล่าวเพื่อชะลอการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันก็ตาม โดยในปีนี้ราคาน้ำมันได้พุ่งขึ้นไปแล้วถึง 50%
นายดริสคอลล์กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่ราคาน้ำมันจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่ก็อาจไม่ใช่ระดับที่ยั่งยืน
"ผมคิดว่า หากทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่เราคิด คือหากสภาพอากาศเลวร้าย, เกิดปัญหาระบบพลังงานขัดข้อง, การลำเลียงขนส่งสะดุดลง หรือเกิดปัญหาห่วงโซ่อุปทาน สถานการณ์เหล่านี้อาจทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็คาดว่าสถานการณ์ในลักษณะนี้จะไม่ยั่งยืน" นายดริสคอลล์กล่าว
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (4 ต.ค.) ผลการประชุมโอเปกพลัสเป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมัน WTI พุ่งขึ้น 1.74 ดอลลาร์ หรือ 2.3% ปิดที่ 77.62 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) เพิ่มขึ้น 1.98 ดอลลาร์ หรือ 2.5% ปิดที่ 81.26 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค. 2561
ส่วนล่าสุดเมื่อคืนนี้ (5 ต.ค.) ตลาดยังคงขานรับมติการประชุมของโอเปกพลัส ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมัน WTI พุ่งขึ้น 1.31 ดอลลาร์ หรือ 1.7% ปิดที่ 78.93 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 21 ต.ค. 2557 และราคาน้ำมันเบรนท์เพิ่มขึ้น 1.30 ดอลลาร์ หรือ 1.6% ปิดที่ 82.56 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค. 2561