ราคาพลังงานที่ทะยานขึ้นไม่หยุดในยุโรปมีแนวโน้มส่งผลกระทบอย่างหนักต่อผู้บริโภคก๊าซธรรมชาติและไฟฟ้ารายใหญ่ ๆ และจะบีบให้บริษัทรายใหญ่ในภาคอุตสาหกรรมต้องปรับลดกำลังการผลิตลง ซึ่งจะกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
ราคาพลังงานที่พุ่งทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงข้ามวันสร้างแรงกดดันทางการเงินเพิ่มขึ้นในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม รวมถึงโลหะและปุ๋ยเคมี โดยบริษัท Aluminium Dunkerque Industries France ซึ่งทำธุรกิจถลุงแร่รายใหญ่ของยุโรป ได้จำกัดปริมาณการผลิตในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ อะลูมิเนียมเป็นหนึ่งในโลหะที่ใช้พลังงานในการผลิตมากที่สุด ราคาพลังงานที่พุ่งขึ้นจึงส่งผลให้บริษัท Aluminium Dunkerque ปรับลดกำลังการผลิตลงราว 3% และทำให้โรงงานสูญเสียรายได้ราว 20 ล้านยูโร (22.6 ล้านดอลลาร์) ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา และบริษัทอาจจำเป็นต้องปรับลดกำลังการผลิตลงอีก หากราคาพลังงานยังคงทะยานขึ้นต่อเนื่อง
ด้านบริษัท Nyrstar NV ในเครือของ Trafigura มีแผนที่จะระงับการผลิตโลหะสังกะสีในฝรั่งเศสชั่วคราวในช่วงต้นเดือนม.ค. นอกจากนี้ บริษัท Azomures ซึ่งเป็นผู้ผลิตปุ๋ยรายใหญ่ในโรมาเนียก็ได้ระงับการผลิตลงชั่วคราว
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า วิกฤตด้านพลังงานในปีนี้มีความรุนแรงมาก โดยราคาก๊าซพุ่งทะยานกว่า 800% ขณะที่ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าก็ดีดตัวถึง 500% นอกจากนี้ สภาพอากาศที่หนาวเย็นจัดในอีกหลายเดือนข้างหน้า ประกอบกับการที่รัสเซียยังจำกัดปริมาณการส่งออกก๊าซ ทำให้วิกฤตครั้งนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะผ่อนคลายลง ปัจจัยดังกล่าวสร้างความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความเสียหายที่ยาวนานต่อเศรษฐกิจในภาคอุตสาหกรรมของยุโรป ขณะที่ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนก็กำลังแพร่ระบาดไปทั่วภูมิภาค
ซาราห์ เฮวิน หัวหน้าฝ่ายวิจัยภูมิภาคยุโรปและอเมริกา ประจำธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ให้สัมภาษณ์ว่า "ราคาก๊าซที่ดีดตัวขึ้นทั้งในภาคครัวเรือนและธุรกิจกำลังจะกระทบหนักต่อกิจกรรมในภาคดังกล่าว โดยราคาก๊าซที่พุ่งขึ้นครั้งล่าสุดเป็นปัจจัยลบอย่างชัดเจนสำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจทั่วทั้งยุโรป รวมถึงสหราชอาณาจักรด้วย"