นายโจเซฟ แมคโมนิเกิล เลขาธิการการประชุมพลังงานสากล (IEF) กล่าวว่า ราคาน้ำมันมีแนวโน้มพุ่งขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 โดยมีสาเหตุมาจากอุปทานน้ำมันมีไม่เพียงพอที่จะรองรับอุปสงค์
นายแมคโมนิเกิลระบุว่า อุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็วสู่ระดับก่อนช่วงโควิด-19 แพร่ระบาด แต่อุปทานน้ำมันที่มีอยู่นั้น ไม่สามารถรองรับอุปสงค์ได้มากพอ และคาดว่าปัจจัยเดียวที่จะทำให้ราคาพลังงานชะลอตัวลงนั้น คือความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย
"ดังนั้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 เราอาจจะเผชิญปัญหาอุปทานน้ำมันไม่เพียงพอรองรับอุปสงค์ และผลที่ตามมาคือราคาน้ำมันจะพุ่งขึ้น" นายแมคโมนิเกิลกล่าวกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีนอกรอบการประชุมรัฐมนตรีพลังงานของกลุ่ม G20 ที่เมืองกัวของอินเดียในวันเสาร์ที่ผ่านมา (22 ก.ค.)
นายแมคโมนิเกิลระบุว่า สาเหตุที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นนั้น มาจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากจีน ซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันดิบรายใหญ่ที่สุดของโลก รวมทั้งอุปสงค์จากอินเดีย โดยคาดว่าอุปสงค์จากอินเดียและจีนรวมกันจะมีส่วนทำให้อุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกพุ่งขึ้นถึง 2 ล้านบาร์เรลต่อวันในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าราคาน้ำมันมีแนวโน้มที่จะพุ่งสูงขึ้นแตะระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลหรือไม่ นายแมคโมนิเกิลกล่าวว่า ขณะนี้ราคาน้ำมันเบรนท์แตะที่ระดับ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลแล้ว และมีความเป็นไปได้ที่จะพุ่งสูงขึ้นอีกต่อจากนี้ โดยราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย.พุ่งขึ้นปิดตลาดที่ระดับ 81.07 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (21 ก.ค.)
"เรากำลังจะได้เห็นสต็อกน้ำมันลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าอุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกพุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และสิ่งที่ตามมาคือเราจะได้เห็นราคาน้ำมันพุ่งขึ้นตามไปด้วย" นายแมคโมนิเกิลกล่าว
อย่างไรก็ตาม นายแมคโมนิเกิลมั่นใจว่า กลุ่มโอเปกพลัสจะดำเนินการและเพิ่มปริมาณน้ำมัน หากอุปทานและอุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกตกอยู่ในภาวะไร้สมดุล