ธนาคารโกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) ระบุในวันพฤหัสบดี (25 ก.ค.) ว่า ไม่ว่าใครก็ตามที่จะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนพ.ย.นี้ จะมีทางเลือกจำกัดในการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันภายในประเทศอย่างมีนัยสำคัญในปีหน้า
ธนาคารฯ ระบุในบันทึกถึงลูกค้าว่า ปัจจุบันปริมาณน้ำมันสำรองเชิงยุทธศาสตร์อยู่ในระดับต่ำ และการผ่อนปรนกฎระเบียบต่าง ๆ อาจช่วยเพิ่มอุปทานน้ำมันของสหรัฐได้ในระยะยาวเท่านั้น
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นเล็กน้อยในวันศุกร์ (26 ก.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ทำให้นักลงทุนคาดหวังว่าความต้องการใช้น้ำมันดิบจะเพิ่มสูงขึ้นในประเทศผู้บริโภคพลังงานอันดับหนึ่งของโลกอย่างสหรัฐ
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย.ซื้อขายกันอยู่ที่ประมาณ 82 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. อยู่ที่ประมาณ 78 ดอลลาร์/บาร์เรล
โกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันเบรนท์จะอยู่ในช่วง 75-90 ดอลลาร์ในปี 2568 โดยตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จะเติบโตตามแนวโน้มปกติ ความต้องการใช้น้ำมันจะคงที่ รวมถึงกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และพันธมิตรจะช่วยรักษาสมดุลของตลาดน้ำมัน
"แม้จะมีความไม่แน่นอนมากมายเกี่ยวกับนโยบายการค้า แต่ดูเหมือนว่าไม่น่าจะมีการเรียกเก็บภาษีนำเข้าน้ำมันดิบจากสหรัฐ"
โกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันอาจลดลงมากถึง 11 ดอลลาร์/บาร์เรลในปีหน้า หากเกิดสถานการณ์ที่สหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าทุกประเภทในอัตรา 10% ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันและ GDP อ่อนแอลง
อย่างไรก็ตาม ธนาคารฯ ระบุว่า หากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เลื่อนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยออกไปเกินปี 2568 เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่สูงขึ้น ภาษีนำเข้าก็อาจส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันมากถึง 19 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยคาดว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์ในไตรมาสที่ 4/2568 อาจลดลงเหลือ 62 ดอลลาร์/บาร์เรล เมื่อเทียบกับการคาดการณ์ในปัจจุบันที่ 81 ดอลลาร์/บาร์เรล