สิงคโปร์ แอลเอ็นจี คอร์ป (Singapore LNG Corp) ซึ่งเป็นบริษัทนำเข้าเชื้อเพลิงของรัฐบาลสิงคโปร์เปิดเผยว่า ความต้องการก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ของสิงคโปร์จะเพิ่มขึ้นในระยะสั้น เนื่องจากกระแสความนิยมของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ผลักดันการขยายตัวของศูนย์ข้อมูล
เหลียง เว่ย หุ่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของสิงคโปร์ แอลเอ็นจี คอร์ปกล่าวในการให้สัมภาษณ์เมื่อวานนี้ (26 ก.ย.) ว่า "โลกดิจิทัลทำให้ความต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างมาก" ความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น "เป็นผลดีต่อพลังงาน" แต่ก็มีข้อเสียในแง่ที่ว่า "เราไม่สามารถสร้างโครงสร้างพื้นฐานได้เร็วพอ"
กระแสความนิยมของศูนย์ข้อมูลและ AI เริ่มแซงหน้าอุปทานพลังงานในบางพื้นที่ของโลกแล้ว โดยบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง อะเมซอน อิงค์ (Amazon Inc) และไมโครซอฟท์ คอร์ป (Microsoft Corp) ต่างให้คำมั่นว่าจะทุ่มเม็ดเงินลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในศูนย์ข้อมูลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า สิงคโปร์ แอลเอ็นจี คอร์ปก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2552 โดยหน่วยงานกำกับดูแลตลาดพลังงานของสิงคโปร์ เพื่อพัฒนาและดำเนินงานสถานีนำเข้าก๊าซ LNG แห่งเดียวของประเทศ ซึ่งเหลียงระบุว่า สถานีนำเข้าแห่งที่ 2 เพื่อรองรับความต้องการพลังงาน มีกำหนดจะเริ่มดำเนินการภายในสิ้นทศวรรษนี้
ทั้งนี้ การบริโภคพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจะทำให้สิงคโปร์ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการลดการปล่อยคาร์บอนในระบบโครงข่ายไฟฟ้า เนื่องจากสิงคโปร์ต้องพึ่งพาก๊าซนำเข้าสำหรับการผลิตไฟฟ้าประมาณ 95% ขณะที่การพัฒนาพลังงานหมุนเวียนถูกจำกัดเนื่องจากพื้นที่ไม่เพียงพอ ในทางกลับกัน สิงคโปร์ตั้งเป้าที่จะนำเข้าพลังงานสีเขียวจากประเทศเพื่อนบ้าน และมีเป้าหมายที่จะนำเข้าพลังงาน 6 กิกะวัตต์ภายในปี 2578 ซึ่งคิดเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของความต้องการทั้งหมด
เหลียงกล่าวว่า เขาเชื่อว่า LNG จะยังคงมีบทบาทสำคัญสำหรับสิงคโปร์ แม้ว่าทั่วโลกมุ่งไปสู่การใช้พลังงานที่สะอาดขึ้นก็ตาม