ซิตี้กรุ๊ป (Citigroup) หรือซิตี้ คาดการณ์เมื่อวันพุธ (6 พ.ย.) ว่า การกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นสมัยที่สองของโดนัลด์ ทรัมป์ อาจกดดันราคาน้ำมันไปจนถึงปี 2568 โดยคาดว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากภาษีการค้าและการเพิ่มขึ้นของอุปทานน้ำมัน
ซิตี้ชี้ว่า อิทธิพลของทรัมป์ต่อกลุ่มโอเปกพลัสซึ่งประกอบด้วยกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันหรือโอเปก (OPEC) และพันธมิตรซึ่งนำโดยรัสเซีย อาจส่งผลให้กลุ่มโอเปกพลัสทยอยยกเลิกการปรับลดการผลิตน้ำมันเร็วขึ้น ซึ่งอาจช่วยลดความตึงเครียดทางการเมือง และอนุญาตให้มีการปล่อยน้ำมันสำรองที่เก็บอยู่ในเรือออกสู่ตลาด
นโยบายของทรัมป์อาจสนับสนุนอุตสาหกรรมน้ำมันผ่านการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีในการลงทุนด้านการสำรวจและการผลิต และอาจยกเลิกการเพิ่มค่าภาคหลวงหรือค่าสัมปทาน, ค่าใช้จ่ายสำหรับการประมูลขั้นต่ำ และอัตราค่าเช่าบนที่ดินของรัฐบาลกลางในยุคของประธานาธิบดีโจ ไบเดน
ซิตี้ยังระบุด้วยว่า นโยบายของทรัมป์อาจส่งผลกระทบที่หลากหลายต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในยุโรปและจีนที่อาจเผชิญกับภาษีการค้า ซึ่งอาจทำให้ความต้องการใช้น้ำมันในตลาดโลกลดลง รวมทั้งจะส่งผลกระทบต่อการคาดการณ์ของซิตี้ที่ว่า การขยายตัวของความต้องการน้ำมันทั่วโลกอยู่ที่ระดับ 0.9 ล้านบาร์เรลต่อวันสำหรับปีหน้า
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า หลังจากที่ทรัมป์จากพรรครีพับลิกันกลับมาครองทำเนียบขาวอีกครั้งด้วยชัยชนะอย่างถล่มทลายเมื่อวันพุธ สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ปิดตลาดลดลง 61 เซนต์ หรือ 0.8% สู่ระดับ 74.92 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบ WTI ของสหรัฐฯ ลดลง 30 เซนต์ หรือ 0.4% สู่ระดับ 71.69 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ชัยชนะของทรัมป์ทำให้เกิดการเทขายอย่างหนักจนกดดันให้ราคาน้ำมันร่วงลงมากกว่า 2 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในการซื้อขายช่วงแรก ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2565