สำนักงานนิรภัยและการบังคับใช้กฎหมายสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (BSEE) เปิดเผยว่า กว่า 1 ใน 4 ของการผลิตน้ำมันดิบ และ 16% ของการผลิตก๊าซธรรมชาติในน่านน้ำอ่าวเม็กซิโกในฝั่งสหรัฐฯ ยังคงหยุดชะงัก อันเนื่องมาจากผลกระทบของพายุหมุนราฟาเอล โดยผู้ผลิตพลังงานระงับการผลิตน้ำมันราว 482,790 บาร์เรล และระงับการผลิตก๊าซธรรมชาติ 310 ล้านลูกบาศก์ฟุตเมื่อวานนี้ (10 พ.ย.)
BSEE ระบุว่า คนงานในภาคน้ำมันและก๊าซยังคงอพยพออกจากแท่นขุดเจาะที่มีคนประจำการ 37 แท่น จากทั้งหมด 371 แท่นในภูมิภาค หรือคิดเป็นประมาณ 10% ขณะที่เรือขุดเจาะ 2 ลำ ยังคงไม่กลับเข้าประจำตำแหน่ง
ด้านเชฟรอน (Chevron) และเชลล์ (Shell) ซึ่งเป็นสองผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ระบุว่า ทั้งสองบริษัทเริ่มส่งคนงานกลับไปทำหน้าที่ ณ แท่นขุดเจาะนอกชายฝั่งอีกครั้งแล้ว นอกจากนี้ โฆษกของเชลล์เปิดเผยอีกว่า ทางบริษัทยังได้ส่งเรือขุดเจาะกลับไปประจำตำแหน่งหลังจากหยุดให้บริการเนื่องจากพายุไปก่อนหน้านี้
ข้อมูลของ BSEE เผยให้เห็นว่า การระงับการผลิตอันเนื่องมาจากพายุหมุนราฟาเอลนั้น กระทบการผลิตน้ำมันประมาณ 2.07 ล้านบาร์เรล และก๊าซธรรมชาติราว 1.12 พันล้านลูกบาศก์ฟุต
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า การผลิตน้ำมันนอกชายฝั่งของสหรัฐฯ ในอ่าวเม็กซิโกมีสัดส่วนคิดเป็นประมาณ 15% ของการผลิตน้ำมันดิบทั้งหมดของสหรัฐฯ และ 2% ของการผลิตก๊าซธรรมชาติแห้ง
ศูนย์เฮอร์ริเคนแห่งชาติสหรัฐฯ (NHC) ระบุว่า พายุลูกดังกล่าวอ่อนกำลังลงกลายเป็นพายุโซนร้อน หลังเคลื่อนตัวเข้าสู่อ่าวในวันพุธ (6 พ.ย.) และคาดว่าจะเวียนวนไปมา ณ บริเวณใจกลางของอ่าวเม็กซิโก ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังทิศใต้และตะวันตกเฉียงใต้ในวันจันทร์-อังคารนี้ (11-12 พ.ย.)