จีนปล่อยก๊าซเรือนกระจก 1.3 หมื่นล้านตันในปี 2564 เพิ่มขึ้น 4.3% จากปีก่อนหน้า จากรายงานฉบับล่าสุดที่ยื่นต่อองค์การสหประชาชาติ และเผยแพร่ผ่านสื่อของรัฐในวันนี้ (10 ม.ค.)
ตัวเลขดังกล่าวมาจากการประเมินอย่างเป็นทางการครั้งล่าสุดของจีน ซึ่งครองแชมป์ผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ที่สุดของโลก ขณะที่การประเมินครั้งก่อนหน้านี้ในปี 2560 ระบุว่ามีการปล่อยก๊าซรวมทั้งสิ้น 1.155 หมื่นล้านตัน
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า จีนเป็นประเทศภาคีของความตกลงปารีส (Paris Agreement) จึงมีพันธกรณีที่จะต้องรายงานตัวเลขการปล่อยก๊าซอย่างละเอียดทุก ๆ สองปี พร้อมทั้งรายงานความก้าวหน้าในการรับมือและบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
รายงานความก้าวหน้ารายสองปีฉบับแรกที่จีนยื่นต่อองค์กรด้านสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ ณ สิ้นเดือนธ.ค. เผยให้เห็นว่า การปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายปี ซึ่งครอบคลุมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) มีเทน และอื่น ๆ พุ่งขึ้นกว่า 70% นับจากปี 2548 อันเป็นผลมาจากความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยการปล่อยก๊าซจากภาคพลังงานในปี 2564 สูงถึง 1.1 หมื่นล้านตัน คิดเป็นสัดส่วน 76.9% ของการปล่อยก๊าซทั้งหมด
ในภาคอุตสาหกรรมหลักนั้น การปล่อยก๊าซ CO2 จากการผลิตปูนซีเมนต์อยู่ที่ 802 ล้านตันในปี 2564 ลดลง 3.2% จากปีก่อนหน้า เนื่องจากการผลิตปูนเม็ด (Clinker) ชะลอตัวลง ขณะที่การปล่อยก๊าซจากการถลุงเหล็กกล้าก็ลดลง 2.3% สู่ระดับ 65.5 ล้านตัน
จีนตั้งเป้าว่าจะควบคุมการปล่อยก๊าซ CO2 ให้แตะระดับสูงสุดภายในปี 2573 ก่อนที่จะลดลงหลังจากนั้น แต่กำลังประสบปัญหาในการบรรลุเป้าหมายระยะกลางปี 2568 ที่ต้องลดสัดส่วนการปล่อยก๊าซ CO2 ต่อหน่วยการเติบโตทางเศรษฐกิจลง 18% ในช่วงปี 2564-2568
คาดว่าจีนจะประกาศเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศปี 2578 ฉบับปรับปรุงต่อสหประชาชาติก่อนเดือนก.พ.นี้ โดยสถาบันวิจัยของรัฐได้เสนอแนะให้รัฐบาลผูกมัดตนเองในการลดการปล่อยก๊าซโดยรวมเป็นครั้งแรก พร้อมให้คำมั่นที่จะเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนเป็นสองเท่าภายในปี 2573
ในรายงานที่เผยแพร่วันนี้ จีนระบุว่าจะต้องใช้งบประมาณราว 26.8 ล้านล้านหยวน (3.66 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป เพื่อบรรลุ "ความเป็นกลางทางคาร์บอน" ภายในปี 2603