ราคาทองฟิวเจอร์ทรุดตัวลงอย่างหนักในวันนี้ ทะลุแนวรับระดับ 1,300 ดอลลาร์ จากปัจจัยการแข็งค่าของดอลลาร์ และความกังวลเกี่ยวกับการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้
ณ เวลา 22.47 น.ตามเวลาไทย สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ซึ่งมีการซื้อขายทางระบบอิเลกทรอนิกส์ ร่วงลง 28.00 ดอลลาร์ หรือ 2.13% สู่ระดับ 1,284.70 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ที่อังกฤษลงประชามติถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.
ดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นจะลดความน่าดึงดูดของทอง โดยทำให้สัญญาทองมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น
ทั้งนี้ ดอลลาร์พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์สู่กรอบกลางของ 102 เยนในวันนี้ โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้ หลังการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่ง และการที่เจ้าหน้าที่เฟดกล่าวสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ณ เวลา 20.29 น.ตามเวลาไทย ดอลลาร์แข็งค่า 0.91% สู่ระดับ 102.53 เยน ขณะที่ยูโรปรับตัวขึ้น 0.48% สู่ระดับ 114.44 เยน และร่วงลง 0.42% สู่ระดับ 1.1162 ดอลลาร์ ส่วนดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน บวก 0.50% สู่ระดับ 96.219
นายเจฟฟรีย์ แลคเกอร์ ประธานเฟด สาขาริชมอนด์ กล่าวว่า เหตุผลสำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยกำลังมีน้ำหนักมากขึ้น โดยเฟดควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างมากเพื่อทำให้เงินเฟ้ออยู่ภายใต้การควบคุม
"การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นเพื่อป้องกันล่วงหน้ามีแนวโน้มที่จะมีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของเงินเฟ้อ" เขากล่าว
ทั้งนี้ เฟดประกาศคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอยู่ในช่วง 0.25-0.50% ในการประชุมเดือนที่แล้ว และกรรมการเฟดส่วนใหญ่ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ก่อนสิ้นปีนี้
อย่างไรก็ดี นายแลคเกอร์ระบุว่า ประวัติศาสตร์ทางด้านเศรษฐกิจได้บ่งชี้ให้เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยควรอยู่สูงกว่าระดับในปัจจุบันราว 1.50% เมื่อพิจารณาจากระดับของอัตราการว่างงาน และอัตราเงินเฟ้อในขณะนี้
ท่าทีของนายแลคเกอร์สอดคล้องกับนางโลเรตตา เมสเตอร์ ประธานเฟด สาขาคลีฟแลนด์ ที่กล่าวว่า เฟดควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 1-2 พ.ย. แม้ว่าการประชุมจะมีขึ้นก่อนการเลือกตั้งสหรัฐวันที่ 8 พ.ย. เพียงไม่กี่วัน พร้อมกับเน้นย้ำว่า การเมืองไม่ได้ส่งผลต่อการตัดสินใจของเฟด
เมื่อวานนี้ สหรัฐเปิดเผยผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ที่ระบุว่า ดัชนีภาคการผลิตของ ISM พุ่งขึ้นแตะระดับ 51.5 ในเดือนก.ย. เพิ่มขึ้นจากระดับ 49.4 ในเดือนส.ค. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 50.3 โดยดัชนีอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ภาวะขยายตัว หลังจากที่อยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ในเดือนส.ค. ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะหดตัว
การเปิดเผยตัวเลขภาคการผลิตดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ หลังการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง
ราคาทองได้ปรับตัวในช่วง 1,300-1,350 ดอลลาร์ในช่วง 6 สัปดาห์ที่ผ่านมา และขณะนี้นักลงทุนกำลังจับตาการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันศุกร์ ซึ่งจะบ่งชี้แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ