นักวิเคราะห์คาดว่า ราคาทองจะดีดตัวขึ้นต่อไปจากปัจจุบันที่เคลื่อนตัวใกล้ระดับ 1,230 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ และการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะดำเนินการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ทองได้พุ่งขึ้นมากกว่า 35 ดอลลาร์จากระดับต่ำสุดที่ได้ทำไว้ก่อนการประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดเมื่อวันพุธที่แล้ว ขณะที่ดอลลาร์ได้ร่วงลง 1.7% จากระดับ 101.71 เยนที่ทำไว้ในวันเดียวกัน
นายไนเตช ชาห์ ซึ่งเป็นนักวิเคราะห์ที่อีทีเอฟ ซีเคียวริตี้ส์ คาดการณ์ว่า ราคาทองจะพุ่งแตะระดับ 1,300 ดอลลาร์/ออนซ์ในกลางปีนี้ ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากกว่า 5% ก่อนที่จะย่อตัวลงกลับสู่ระดับปัจจุบันในช่วงปลายปี
นายชาห์กล่าวว่า ถึงแม้เขาเห็นด้วยว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ แต่เฟดก็อาจจะถูกบังคับให้คุมเข้มนโยบายการเงินในครึ่งปีหลัง โดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเพิ่มขึ้น และดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยฉุดให้ราคาทองอ่อนตัวลง
ทางด้านธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ ออกรายงานระบุว่า ราคาทองมีแนวโน้มพุ่งขึ้นราว 200 ดอลลาร์ ภายในสิ้นปีนี้
รายงานระบุว่า ราคาทองจะได้รับแรงหนุนจากภาวะเงินเฟ้อ รวมทั้งปัจจัยความไม่แน่นอนหลายประการ ซึ่งรวมถึงการเลือกตั้งของหลายประเทศในยุโรป และการใช้มาตรการกีดกันทางการค้า ซึ่งจะผลักดันให้ราคาทองพุ่งขึ้นแตะระดับ 1,400 ดอลลาร์/ออนซ์ภายในสิ้นปีนี้
ส่วนยูบีเอสคาดว่า ราคาทองจะได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ทองในอินเดีย และจีน ทำให้ราคาทองมีแนวรับที่ระดับ 1,200 ดอลลาร์