สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 1 ปีเมื่อคืนนี้ (7 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับยูโร หลังจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และคงวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมเมื่อวานนี้
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. พุ่งขึ้น 11.30 ดอลลาร์ หรือ 0.8% ปิดที่ระดับ 1,350.30 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 6 ก.ย. 2016
สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 20.6 เซนต์ หรือ 1.2% ปิดที่ 18.116 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 9.70 ดอลลาร์ หรือ 1% ปิดที่ 1,016.80 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค. พุ่งขึ้น 16.95 ดอลลาร์ หรือ 1.8% ปิดที่ 948.85 ดอลลาร์/ออนซ์
สกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ซึ่งช่วยให้สัญญาทองคำมีมูลค่าที่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่นๆ โดยดอลลาร์อ่อนค่าลงอย่างมากเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโร หลังจากที่ประชุม ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ ที่ระดับ 0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
ขณะเดียวกัน ECB ได้ประกาศคงวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่ระดับ 6 หมื่นล้านยูโร/เดือน จนถึงเดือนธ.ค. อย่างไรก็ดี ECB ระบุว่าอาจมีการเพิ่มวงเงิน QE หรือขยายเวลาในการใช้มาตรการ QE หากแนวโน้มเศรษฐกิจย่ำแย่ลง
ดอลลาร์สหรัฐยังอ่อนค่าลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปีเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดาในการซื้อขายเมื่อคืนนี้ ภายหลังจากธนาคารกลางแคนาดามีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 1%
นอกจากนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐยังกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกพุ่งขึ้น 62,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สู่ระดับ 298,000 ราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2015
ทั้งนี้ ตัวเลขผู้ที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานพุ่งขึ้น เพราะได้รับผลกระทบจากพายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์ ซึ่งพัดถล่มรัฐเท็กซัส และหลุยเซียนา จนทำให้มีผู้ว่างงานชั่วคราวจำนวนมาก