ราคาทองฟิวเจอร์ดิ่งลงเกือบ 1% ในวันนี้ โดยได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของดอลลาร์ หลังการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ
ณ เวลา 22.46 น.ตามเวลาไทย สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ซึ่งมีการซื้อขายทางระบบอิเลกทรอนิกส์ ร่วงลง 11.40 ดอลลาร์ หรือ 0.87% สู่ระดับ 1,266.70 ดอลลาร์/ออนซ์
ดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น จะลดความน่าดึงดูดของทอง โดยทำให้สัญญาทองมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น
ดอลลาร์ดีดตัวขึ้นในวันนี้ ขานรับตัวเลขเศรษฐกิจที่สดใสของสหรัฐ
ณ เวลา 22.06 น.ตามเวลาไทย ดอลลาร์แข็งค่า 0.24% สู่ระดับ 114.35 เยน ขณะที่ยูโรปรับตัวลง 0.17% สู่ระดับ 132.74 เยน และร่วงลง 0.41% สู่ระดับ 1.1608 ดอลลาร์ ส่วนดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน บวก 0.26% สู่ระดับ 94.93
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า คำสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.4% ในเดือนก.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 1.2% ในเดือนส.ค.
นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานจะเพิ่มขึ้น 1.3% ในเดือนก.ย.
นอกจากนี้ ยอดสั่งซื้อสินค้าทุนพื้นฐาน ที่ไม่รวมหมวดอาวุธและเครื่องบิน พุ่งขึ้น 1.7% ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.ปีที่แล้ว หลังจากปรับตัวขึ้น 1.4% ในเดือนส.ค. โดยยอดสั่งซื้อดังกล่าวได้รับการจับตาว่าเป็นมาตรวัดความเชื่อมั่น และแผนการใช้จ่ายในภาคธุรกิจ
ส่วนผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) พบว่า ดัชนีภาคบริการของ ISM ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 60.1 ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มมีการเปิดตัวดัชนีดังกล่าวในปี 2551 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะลดลงสู่ระดับ 58.5
ก่อนหน้านี้ ดัชนีภาคบริการของ ISM อยู่ที่ระดับ 59.8 ในเดือนก.ย.
ดัชนีภาคบริการของสหรัฐยังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะขยายตัว โดยอยู่เหนือระดับดังกล่าวเป็นเวลา 94 เดือนติดต่อกัน
ราคาทองดีดตัวก่อนหน้านี้ จากการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐที่ต่ำกว่าที่คาดไว้
กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นต่ำกว่าคาดในเดือนต.ค. โดยปรับตัวขึ้นเพียง 261,000 ตำแหน่ง ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะพุ่งขึ้น 310,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 4.1% ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะทรงตัวที่ 4.2%
ส่วนตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในเดือนก.ย.เพิ่มขึ้นเพียง 18,000 ตำแหน่ง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากพายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์ และเออร์มา ซึ่งทำให้ภาคธุรกิจในรัฐเท็กซัส ฟลอริดา และอีกหลายรัฐทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐต้องปิดกิจการ ส่งผลให้แรงงานจำนวนมากประสบภาวะตกงานชั่วคราว