ราคาทองฟิวเจอร์ดิ่งลงอย่างหนักในวันนี้ โดยถูกกระทบจากการแข็งค่าของดอลลาร์ หลังจากที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศปรับลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลง 1% โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค.
นักลงทุนกังวลว่าเศรษฐกิจจีนกำลังได้รับผลกระทบจากการทำสงครามการค้ากับสหรัฐ
ณ เวลา 21.09 น.ตามเวลาไทย สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ร่วงลง 16.10 ดอลลาร์ หรือ 1.34% สู่ระดับ 1,189.50 ดอลลาร์/ออนซ์
ราคาทองร่วงลงมากกว่า 12% นับตั้งแต่เดือนเม.ย. โดยได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของดอลลาร์, ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมทั้งจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นจะลดความน่าดึงดูดของทอง โดยทำให้สัญญาทองมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น
ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ยังคงดีดตัวขึ้นในวันนี้ ต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่ตลาดหุ้นดิ่งลงทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีน ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนหันมาถือครองดอลลาร์
ณ เวลา 18.26 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน บวก 0.37% สู่ระดับ 95.97 ขณะที่ดอลลาร์อ่อนค่าลง 0.30% สู่ระดับ 113.36 เยน ส่วนยูโรดิ่งลง 0.68% สู่ระดับ 130.08 เยน และร่วงลง 0.41% สู่ระดับ 1.1476 ดอลลาร์
ดัชนีดอลลาร์ปรับตัวขึ้น 0.50% ในสัปดาห์ที่แล้ว โดยแข็งค่าขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 2 ขณะที่กองทุนเฮดจ์ฟันด์เพิ่มการถือครองดอลลาร์ 3.4 พันล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 2.87 หมื่นล้านดอลลาร์ในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปลายเดือนธ.ค.2559
ยูโรดิ่งลงเทียบเยนและดอลลาร์ ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับการขาดดุลงบประมาณของอิตาลี
อย่างไรก็ดี การซื้อขายเงียบเหงาในวันนี้ เนื่องจากเป็นวันหยุดในญี่ปุ่น
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคสหรัฐ (CPI) ในวันพฤหัสบดี ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี CPI จะปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนก.ย. เช่นเดียวกับในเดือนส.ค.
หากตัวเลข CPI ดีดตัวขึ้นมากกว่าระดับ 0.2% ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ จะเป็นปัจจัยเพิ่มการคาดการณ์เกี่ยวกับการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
เมื่อเดือนที่แล้ว เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 2.00-2.25% พร้อมกับส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในเดือนธ.ค. และปรับขึ้น 3 ครั้งในปีหน้า และอีก 1 ครั้งในปี 2563