ราคาทองฟิวเจอร์ดิ่งลงกว่า 2% ในวันนี้ ทำสถิติทรุดตัวลงหนักที่สุดภายในวันเดียวเมื่อคิดเป็นเปอร์เซนต์ในรอบกว่า 2 ปีครึ่ง ขณะที่นักลงทุนหันเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยง หลังคลายกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐ และความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
นอกจากนี้ ราคาทองยังถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์
ณ เวลา 00.10 น.ตามเวลาไทย สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ร่วงลง 36.70 ดอลลาร์ หรือ 2.35% สู่ระดับ 1,523.70 ดอลลาร์/ออนซ์ โดย
ผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) พบว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐดีดตัวแตะระดับ 56.4 ในเดือนส.ค. จากระดับ 53.7 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2559
นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐจะปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 54.0 ในเดือนส.ค.
การดีดตัวของดัชนี ISM ได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.
ดัชนีภาคบริการยังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงการขยายตัวของภาคบริการ
ทั้งนี้ ดัชนีภาคบริการของ ISM ประกอบด้วยอุตสาหกรรม 17 กลุ่ม ซึ่งรวมถึงอสังหาริมทรัพย์ การขนส่ง การก่อสร้าง และเหมืองแร่ โดยอุตสาหกรรม 16 กลุ่มมีการขยายตัวในเดือนส.ค.
ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐพุ่งขึ้น 195,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 128,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค.
นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าการจ้างงานของภาคเอกชนจะเพิ่มขึ้นเพียง 140,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค.
การจ้างงานในภาคบริการเพิ่มขึ้น 184,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค. ส่วนการจ้างงานในภาคการผลิตเพิ่มขึ้น 11,000 ตำแหน่ง
ดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น จะลดความน่าดึงดูดของทอง โดยทำให้สัญญาทองมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น
ดอลลาร์ดีดตัวสู่ช่วงบนของกรอบ 106 เยน ขณะที่นักลงทุนพากันซื้อสินทรัพย์เสี่ยง หลังคลายกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
ณ เวลา 00.11 น.ตามเวลาไทย ดอลลาร์แข็งค่า 0.48% สู่ระดับ 106.89 เยน ขณะที่ยูโรปรับตัวขึ้น 0.53% สู่ระดับ 118.00 เยน และขยับขึ้น 0.05% สู่ระดับ 1.1039 ดอลลาร์ ส่วนดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลบ 0.07% สู่ระดับ 98.38
กระทรวงพาณิชย์จีนแถลงว่า นายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน ได้ทำการสนทนาทางโทรศัพท์กับนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ และนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันเกี่ยวกับการจัดการเจรจาการค้ารอบต่อไปที่กรุงวอชิงตันในช่วงต้นเดือนหน้า ขณะที่เจ้าหน้าที่ของสหรัฐและจีนจะทำการปรึกษาหารือกันในช่วงกลางเดือนนี้เพื่อเตรียมการประชุมดังกล่าว
แหล่งข่าววงในของจีนที่ใกล้ชิดกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ระบุว่า การเจรจาการค้าระหว่างทั้งสองฝ่ายในครั้งนี้ จะแตกต่างจากการเจรจา 12 รอบในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งมักจบลงด้วยการประกาศทำสงครามการค้าระหว่างกัน
นายหู สีจิน บรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ โกลบอล ไทมส์ของจีน ทวีตข้อความระบุว่า "จีนและสหรัฐได้ประกาศการเจรจาการค้ารอบใหม่ และจะดำเนินการเพื่อให้มีความคืบหน้าครั้งใหญ่ โดยส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่า สหรัฐ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการทำสงครามการค้า ไม่หวังที่จะฝืนความตั้งใจของจีนอีกต่อไป โดยมีความเป็นไปได้มากขึ้นที่การเจรจาของทั้งสองฝ่ายจะมีความคืบหน้าครั้งสำคัญ"
ทั้งนี้ นักลงทุนจำนวนมากในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทต่างก็ติดตามทวิตเตอร์ของนายหูเพื่อรับทราบความคืบหน้าเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
ขณะเดียวกัน Taoran Notes ซึ่งเป็นบล็อคในสื่อโซเชียลมีเดีย WeChat ของจีน ระบุว่า มีแนวโน้มอย่างมากที่จะมีพัฒนาการครั้งใหม่ในการเจรจาการค้ารอบนี้
Taoran Notes ได้อ้างอิงแถลงการณ์ของกระทรวงพาณิชย์จีน ที่ระบุว่า เจ้าหน้าที่ของทั้งสองฝ่ายจะทำการปรึกษาหารือกันในกลางเดือนนี้เพื่อเตรียมการสำหรับ"ความคืบหน้าที่มีความหมาย"ในการเจรจาระดับรัฐมนตรีในเดือนต.ค.
Taoran Notes ระบุว่า กระทรวงพาณิชย์จีนไม่เคยออกแถลงการณ์โดยใช้คำว่า "ความคืบหน้าที่มีความหมาย" นับตั้งแต่การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนประสบความล้มเหลวในเดือนพ.ค.
บล็อคของ Taoran Notes ได้รับการติดตามจากนักวิเคราะห์จำนวนมาก ซึ่งรวมถึงสื่อสหรัฐ เช่น สำนักข่าวบลูมเบิร์ก
นอกจากนี้ ผลการสำรวจนักวิเคราะห์ระบุว่า ในวันพรุ่งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 150,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค. ขณะที่อัตราการว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 3.7%
เมื่อเดือนที่แล้ว กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 164,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. ใกล้เคียงกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 165,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานยังคงอยู่ที่ระดับ 3.7% ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 3.6% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 50 ปี