ราคาทองฟิวเจอร์ดิ่งลงกว่า 1% ใกล้หลุดระดับ 1,480 ดอลลาร์ในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนเปิดรับความเสี่ยง โดยหันไปซื้อหุ้น ท่ามกลางความหวังมากขึ้นต่อการบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
ณ เวลา 22.11 น.ตามเวลาไทย สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ร่วงลง 16.80 ดอลลาร์ หรือ 1.12% สู่ระดับ 1,484.10 ดอลลาร์/ออนซ์
ทางด้านดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 400 จุด หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ส่งสัญญาณบวกต่อการเจรจาการค้ากับจีนในรอบนี้
"สิ่งดีๆกำลังเกิดขึ้นในการเจรจาการค้ากับจีน มันเป็นความรู้สึกที่อบอุ่นกว่าการเจรจาหลายครั้งที่ผ่านมา โดยความรู้สึกนี้เหมือนกับวันวานอันแสนสุข และผมจะพบกับท่านรองนายกฯของจีนในวันนี้ ซึ่งทุกฝ่ายต้องการจะเห็นสิ่งที่สำคัญบังเกิดขึ้น" ข้อความในทวิตเตอร์ระบุ
ปธน.ทรัมป์จะพบกับนายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน ซึ่งเป็นผู้นำคณะเจรจาการค้าของจีน ที่ทำเนียบขาวในวันนี้เวลา 14.45 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือคืนนี้เวลา 01.45 น.ตามเวลาไทย
หนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทมส์รายงานว่า สหรัฐและจีนจะประกาศข้อตกลงการค้าในวันนี้ ซึ่งจะช่วยให้สหรัฐระงับการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีน
ทั้งนี้ สหรัฐมีกำหนดเพิ่มการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2.5 แสนล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 30% ในวันที่ 15 ต.ค. จากเดิมที่ระดับ 25% และมีกำหนดเก็บภาษี 15% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 1.6 แสนล้านดอลลาร์ ในวันที่ 15 ธ.ค.
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวก่อนหน้านี้ว่า การเจรจาการค้าระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐและจีนเมื่อวานนี้ เป็นไปอย่างราบรื่น
"การเจรจาวันแรกเป็นไปอย่างราบรื่นมากๆ เรามีการพูดคุยที่ดีมากๆกับทางจีน และเชื่อว่าทั้งสองฝ่ายน่าจะได้ข้อสรุปในประเด็นทั่วไป เราจะเจรจากับจีนต่อในวันศุกร์ สิ่งที่เห็นในขณะนี้คือ การเจรจาเป็นไปด้วยดี" ปธน.ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาว
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวรายหนึ่งกล่าวว่า การเจรจาการค้าระหว่างทั้งสองฝ่ายดีกว่าที่คาดไว้
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในปลายเดือนนี้
ตลาดคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ในการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 29-30 ต.ค.นี้ หลังจากที่มีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอในภาคการผลิตและภาคบริการของสหรัฐ โดยได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐ-จีน รวมทั้งการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่เพิ่มขึ้นต่ำกว่าคาดในเดือนก.ย. แม้อัตราการว่างงานแตะระดับต่ำสุดในรอบ 50 ปี
นอกจากนี้ การเปิดเผยตัวเลขดัชนี CPI และ PPI ที่ชะลอตัวในเดือนก.ย. ก็เป็นอีกปัจจัยที่หนุนให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้