สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (15 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อทองในฐานะที่เป็นแหล่งลงทุนที่ปลอดภัย หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ และนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 15.4 ดอลลาร์ หรือ 0.88% ปิดที่ 1,756.3 ดอลลาร์/ออนซ์ และในรอบสัปดาห์นี้ สัญญาทองคำ ปรับตัวขึ้น 2.5%
สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 91.4 เซนต์ หรือ 5.66% ปิดที่ 17.07 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 42.1 ดอลลาร์ หรือ 5.43% ปิดที่ 817.1 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 59.70 ดอลลาร์ หรือ 3.3% ปิดที่ 1,857.90 ดอลลาร์/ออนซ์
ราคาทองได้แรงหนุนจากคำสั่งซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย หลังรัฐบาลสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ และนักลงทุนวิตกกับความตึงเครียดด้านการค้ารอบใหม่ระหว่างสหรัฐ-จีน หลังสหรัฐดำเนินมาตรการเพื่อสกัดกั้นการส่งออกเซมิคอนดัคเตอร์ให้แก่บริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี ซึ่งเป็นบริษัทสื่อสารโทรคมนาคมรายใหญ่ของจีน
แหล่งข่าววงในของจีนที่ใกล้ชิดกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ระบุว่า จีนเตรียมตอบโต้บริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐ หากสหรัฐยังคงใช้มาตรการกีดกันบริษัทหัวเว่ย
นอกจากนี้ การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอช่วยหนุนแรงซื้อทองด้วย โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกทรุดตัวลง 16.4% ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นการดิ่งลงหนักที่สุดนับตั้งแต่ที่รัฐบาลเริ่มมีการเก็บรวบรวมข้อมูลดังกล่าวตั้งแต่ปี 2535 และย่ำแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะร่วงลง 12.3% หลังจากลดลง 8.3% ในเดือนมี.ค.
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รายงานว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวมของสหรัฐดิ่งลง 11.2% ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นการทรุดตัวลงหนักที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกข้อมูลดังกล่าวเมื่อ 101 ปีก่อน หลังจากร่วงลง 5.4% ในเดือนมี.ค.
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจลดลง 0.2% ในเดือนมี.ค. สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากลดลง 0.5% ในเดือนก.พ. โดยการปรับตัวลงของสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจได้รับผลกระทบจากการที่ห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกได้หยุดชะงักลงจากการที่รัฐบาลออกมาตรการล็อกดาวน์เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19