สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (31 ธ.ค.) โดยได้ปัจจัยบวกจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ ซึ่งได้เพิ่มความน่าดึงดูดของทอง โดยทำให้สัญญาทองมีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 1.7 ดอลลาร์ หรือ 0.09% ปิดที่ 1,895.1 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 16.1 เซนต์ หรือ 0.61% ปิดที่ 26.412 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 0.7 ดอลลาร์ หรือ 0.06% ปิดที่ 1,079.2 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 75.40 ดอลลาร์ หรือ 3.2% ปิดที่ 2453.80 ดอลลาร์/ออนซ์
ราคาทองทำสถิติพุ่งขึ้น 25% ในปีนี้ ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2553 โดยนักลงทุนพากันเข้าซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมทั้งจากการที่รัฐบาลและธนาคารกลางทั่วโลกออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดดังกล่าว
อย่างไรก็ดี ราคาทองปรับตัวเป็นรองโลหะเงิน ซึ่งทะยานขึ้น 48% ในปีนี้ และเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบ 10 ปีเช่นกัน
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ราคาทองจะยังคงไปต่อในปีหน้า โดยจะสามารถแตะระดับ 1,950 ดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปี 2564 จากการที่สหรัฐยังคงใช้มาตรการกระตุ้นทางการเงินและการคลัง ซึ่งจะดันให้เงินเฟ้อดีดตัวขึ้น ขณะที่อัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับต่ำไปจนถึงปี 2565
นอกจากนี้ ราคาทองยังได้รับแรงหนุนจากคาดการณ์ที่ว่า รัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของนายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ หลังเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค.2564
นักลงทุนจับตาการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภารอบสองในรัฐจอร์เจียในวันที่ 5 ม.ค.2564 ซึ่งจะตัดสินว่าพรรคเดโมแครตหรือรีพับลิกันจะครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา ซึ่งหากพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้ง ก็จะทำให้ทางพรรคสามารถครองอำนาจเบ็ดเสร็จในทำเนียบขาว วุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะเอื้อต่อการผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ