สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในวันศุกร์ (17 มี.ค.) สู่ระดับสูงสุดในรอบ 11 เดือน และปรับตัวขึ้นรายสัปดาห์มากที่สุดในรอบเกือบ 3 ปี เนื่องจากความวิตกเกี่ยวกับวิกฤตธนาคารได้กระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาทองคำในฐานะแหล่งลงทุนที่ปลอดภัย นอกจากนี้ การอ่อนค่าของดอลลาร์ได้ช่วยหนุนตลาดทองคำด้วย
ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย. พุ่งขึ้น 50.50 ดอลลาร์ หรือ 2.63% ปิดที่ 1,973.50 ดอลลาร์/ออนซ์ และปรับตัวขึ้น 5.7% ในรอบสัปดาห์นี้
สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้น 77 เซนต์ หรือ 3.55% ปิดที่ 22.462 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 1.50 ดอลลาร์ หรือ 0.15% ปิดที่ 978.60 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมิ.ย. ลดลง 23.20 ดอลลาร์ หรือ 1.7% ปิดที่ 1,386.10 ดอลลาร์/ออนซ์
ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.67% แตะที่ระดับ 103.7153
ทั้งนี้ การอ่อนค่าของดอลลาร์ส่งผลให้สัญญาทองคำซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาถูกลงและน่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือสกุลเงินอื่น ๆ
วิกฤตธนาคารทั่วโลกยังคงกระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุน และกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
นอกจากนี้ สัญญาทองคำยังได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ของตลาดที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะยุติวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากปรับขึ้น 0.25% อีก 1 ครั้งในสัปดาห์หน้า ซึ่งการคาดการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลถ่วงดัชนีดอลลาร์ร่วงลง
การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซาของสหรัฐในวันศุกร์ (17 มี.ค.) เป็นแรงหนุนสัญญาทองคำด้วย โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รายงานว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐยังคงทรงตัวในเดือนก.พ. ต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ว่าอาจจะเพิ่มขึ้น 0.2%
ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน โดยร่วงลงสู่ระดับ 63.4 ในเดือนมี.ค. จากระดับ 67.0 ในเดือนก.พ. และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 67.0