สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี (25 ต.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ท่ามกลางสถานการณ์ในตะวันออกกลางที่มีแนวโน้มรุนแรง
ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 8.80 ดอลลาร์ หรือ 0.44% ปิดที่ 1,994.90 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 10.90 เซนต์ หรือ 0.47% ปิดที่ 23.007 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 20.50 ดอลลาร์ หรือ 2.30% ปิดที่ 912.40 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 6.10 ดอลลาร์ หรือ 0.54% ปิดที่ 1133.60 ดอลลาร์/ออนซ์
สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางยังคงเป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย โดยทางการอิสราเอลยืนยันว่าจะไม่ล้มเลิกแผนการโจมตีภาคพื้นดินในฉนวนกาซา เนื่องจากยังมีชาวอิสราเอลจำนวนมากถูกกลุ่มฮามาสจับเป็นตัวประกัน
เอสแอนด์พี โกลบอล เรทติ้งส์ (S&P) ประกาศลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือของอิสราเอลลงสู่ "เชิงลบ" จาก "มีเสถียรภาพ" และคงอันดับความน่าเชื่อถือของอิสราเอลไว้ที่ระดับ AA- พร้อมกับคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจอิสราเอลจะหดตัวลง 5% ในไตรมาส 4 ปีนี้ โดยระบุว่า ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสมีแนวโน้มที่จะบานปลาย และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระดับที่รุนแรงมากขึ้น
เอสแอนด์พีเตือนว่า ความขัดแย้งในครั้งนี้กำลังส่งผลให้เศรษฐกิจอิสราเอลตกอยู่ในภาวะชะงักงัน อีกทั้งทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวถูกชัตดาวน์ และบั่นทอนความเชื่อมั่นเป็นวงกว้าง
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐในสัปดาห์นี้เพื่อประเมินทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยในวันนี้ สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 3/2566 ซึ่งจะเป็นตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1
ส่วนในวันพรุ่งนี้ สหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ประจำเดือนก.ย. โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)