สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลดลงในวันพฤหัสบดี (28 ธ.ค.) โดยถูกกดดันจากการที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ซึ่งทำให้สัญญาทองคำซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาที่ไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ
ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 9.60 ดอลลาร์ หรือ 0.46% ปิดที่ 2,083.50 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 26.90 เซนต์ หรือ 1.09% ปิดที่ 24.372 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 8.60 ดอลลาร์ หรือ 0.85% ปิดที่ 1,023.20 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 17.50 ดอลลาร์ หรือ 1.51% ปิดที่ 1,140.20 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาทองคำยังถูกกระทบจากการดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งจะเพิ่มต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย
นอกจากนี้ นักลงทุนยังเทขายสัญญาทองคำเพื่อทำกำไร หลังจากราคาทองพุ่งขึ้นทะลุ 2,090 ดอลลาร์ในวันพุธ โดยได้ปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ และการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า
บรรดาเทรดเดอร์คาดว่า การซื้อขายในตลาดจะยังคงเป็นไปอย่างซบเซา ขณะที่นักลงทุนอยู่นอกตลาดก่อนช่วงเทศกาลวันหยุดสิ้นปี
อย่างไรก็ตาม ราคาทองปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในปีนี้ โดยมีแนวโน้มพุ่งขึ้นมากกว่า 10% ซึ่งถือเป็นการปรับตัวดีที่สุดนับตั้งแต่ปี 2563 ขณะที่นักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนมี.ค.ปีหน้า และอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐชะลอตัวลงอย่างชัดเจน
การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐชะลอการฟื้นตัว ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 12,000 ราย สู่ระดับ 218,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 210,000 ราย
ด้านสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) ทรงตัวที่ระดับ 71.6 ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 20 ปี หรือนับตั้งแต่ NAR จัดทำดัชนีดังกล่าวในปี 2544 และเมื่อเทียบรายปี ดัชนีร่วงลง 5.2% ในเดือนพ.ย. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าดัชนีอาจปรับตัวขึ้น 1% ในเดือนพ.ย.
FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า บรรดานักลงทุนคาดการณ์ว่า มีโอกาส 74.1% ที่เฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค. 2567 และเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยจำนวน 6 ครั้งในปี 2567 โดยปรับลดครั้งละ 0.25% รวม 1.50% มากกว่าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้ง ครั้งละ 0.25% รวม 0.75%