สภาทองคำโลก (WGC) เปิดเผยรายงานล่าสุดในวันนี้ (31 ม.ค.) ว่า ความต้องการทองคำทั่วโลกซึ่งนับรวมถึงการซื้อขายนอกตลาด (OTC) ด้วยนั้น เพิ่มขึ้น 3% สู่ระดับ 4,898.8 ตันในปี 2566 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ WGC เริ่มทำการรวบรวมข้อมูลในปี 2553 หากไม่นับรวมการซื้อขาย OTC ความต้องการทองคำทั่วโลกในปี 2566 ปรับตัวลง 5% ในปี 2566 สู่ระดับ 4,448.4 ตัน อย่างไรก็ดี ความต้องการทองคำในปีดังกล่าวยังนับว่าแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับระดับเฉลี่ยในรอบ 10 ปี อันเนื่องมาจากสถานการณ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ
WGC ระบุว่า สถานการณ์ความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ รวมทั้งความตึงเครียดด้านการค้า, การเลือกตั้งในกว่า 60 ประเทศทั่วโลก และแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนั้น จะเป็นปัจจัยหนุนความต้องการทองคำในปีนี้ และสามารถชดเชยผลกระทบจากยอดสั่งซื้ออัญมณีที่ปรับตัวลง อันเนื่องมาจากราคาที่สูงขึ้น และเศรษฐกิจชะลอตัวลง
ราคาทองคำพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,135.4 ดอลลาร์/ออนซ์ในเดือนธ.ค. 2566 และเคลื่อนไหวเหนือระดับทางจิตวิทยาที่ 2,000 ดอลลาร์นับตั้งแต่ต้นปีนี้
WGC ระบุว่า ธนาคารกลางทั่วโลกได้เข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2565 โดยความต้องการทองคำจากธนาคารกลางในปี 2566 อยู่ที่ระดับ 1,037.4 ตัน ลดลง 4% จากระดับในปี 2565
นายจอห์น รีด นักกลยุทธ์การตลาดของ WGC กล่าวว่า "แม้ธนาคารกลางเข้าซื้อทองคำในปี 2566 ไม่มากเท่ากับในปี 2565 แต่ก็สูงกว่าที่ WGC คาดการณ์ไว้ ส่วนในปี 2567 นั้น เราคาดว่ายอดซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกอาจลดลงราว 200 ตัน แต่ตัวเลขดังกล่าวยังคงสูงกว่าในปี 2565