สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงมากกว่า 2% ในวันศุกร์ (19 ก.ค.) โดยถูกกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์และการเทขายทำกำไรหลังจากราคาทองคำแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ในช่วงต้นสัปดาห์นี้
ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. ร่วงลง 57.30 ดอลลาร์ หรือ 2.33% ปิดที่ 2,399.10 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 0.925 ดอลลาร์ หรือ 3.06% ปิดที่ 29.299 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 12.10 ดอลลาร์ หรือ 1.23% ปิดที่ 973.90 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 26.90 ดอลลาร์ หรือ 2.89% ปิดที่ 902.30 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาทองคำเผชิญแรงกดดันหลังจากดอลลาร์สหรัฐปรับตัวขึ้น 0.1% เมื่อเปรียบเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีเพิ่มขึ้นด้วย
ดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นจะลดความน่าดึงดูดของทอง โดยทำให้สัญญาทองมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น ขณะที่การดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจะเพิ่มต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย
เครื่องมือ FedWatch ของ CME บ่งชี้ว่า ตลาดคาดการณ์ในขณะนี้ว่า มีโอกาส 98% ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนก.ย. โดยทองคำที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปอัตราดอกเบี้ยจะมีความน่าดึงดูดใจมากขึ้นท่ามกลางภาวะดอกเบี้ยต่ำ
นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดกล่าวเมื่อต้นสัปดาห์นี้ว่า ข้อมูลเงินเฟ้อล่าสุดได้เพิ่มความมั่นใจในระดับหนึ่งว่า อัตราการเพิ่มขึ้นของราคากำลังกลับสู่เป้าหมายของเฟดได้อย่างยั่งยืน
"หากกองทุน ETF เพิ่มการถือครองทองคำเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง ราคาทองคำก็จะปรับตัวขึ้นอย่างมาก" คริส แมนซินี ผู้จัดการพอร์ตการลงทุนของ Gabelli Gold Fund กล่าว
"หากเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงทำให้รัฐบาลต่าง ๆ ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในด้านโครงสร้างพื้นฐานนั้น ราคาทองคำและโลหะอุตสาหกรรมก็จะปรับตัวขึ้นพร้อมกัน"
ทั้งนี้ ความต้องการทองคำในเอเชียชะลอตัวลงในสัปดาห์นี้ ซึ่งสะท้อนถึงความลังเลของลูกค้าในการซื้อทองคำลอตใหม่ แม้ราคาลดลงอย่างมากก็ตาม โดยลูกค้าเลือกที่จะขายทำกำไรทองคำหลังจากราคาแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์