สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 5 ในวันอังคาร (24 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ รวมทั้งสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางซึ่งเป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 24.50 ดอลลาร์ หรือ 0.92% ปิดที่ 2,677.00 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 1.345 ดอลลาร์ หรือ 4.33% ปิดที่ 32.43 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 25.40 ดอลลาร์ หรือ 2.61% ปิดที่ 998.50 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 15.00 ดอลลาร์ หรือ 1.44% ปิดที่ 1,060.10 ดอลลาร์/ออนซ์
ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ปรับตัวลง 0.38% แตะระดับ 100.466 ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนตลาดทองคำ เนื่องจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ทำให้สัญญาทองคำมีราคาที่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ
นอกจากนี้ นักลงทุนยังเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง โดยล่าสุดกองกำลังป้องกันอิสราเอล (IDF) เปิดเผยว่า กองทัพอิสราเอลสามารถปลิดชีพอิบราฮิม มูฮัมหมัด กาบิซี ผู้บัญชาการกองกำลังจรวดและขีปนาวุธของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ รวมทั้งผู้บัญชาการทหารอีกหลายราย หลังจากใช้ปฏิบัติการทางอากาศโจมตีฐานที่มั่นของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอนเมื่อวานนี้
กระทรวงสาธารณสุขเลบานอนเปิดเผยว่า จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 558 ราย ซึ่งรวมถึงเด็ก 50 ราย และผู้หญิง 94 ราย ขณะที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1,835 รายจากการที่อิสราเอลส่งเครื่องบินรบโจมตีพื้นที่ตอนใต้และทางตะวันออกของเลบานอน โดยผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บครั้งนี้มีจำนวนสูงสุดนับตั้งแต่การสู้รบระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในปี 2549
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)