สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี (26 ก.ย.) เนื่องจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์เป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อ นอกจากนี้ ราคาทองคำยังได้ปัจจัยบวกจากความหวังที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.50% ในการประชุมเดือนพ.ย.
ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 10.20 ดอลลาร์ หรือ 0.38% ปิดที่ 2,694.90 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 32.3 เซนต์ หรือ 1.01% ปิดที่ 32.341 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 20.90 ดอลลาร์ หรือ 2.09% ปิดที่ 1,022.20 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 12.80 ดอลลาร์ หรือ 1.23% ปิดที่ 1,051.20 ดอลลาร์/ออนซ์
ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.39% แตะที่ระดับ 100.522 ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อทองคำ เนื่องจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ช่วยให้สัญญาทองคำมีราคาที่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ
ราคาทองคำยังได้ปัจจัยหนุนจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง โดยเครื่องมือ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 62.8% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมเดือนพ.ย. หลังจากให้น้ำหนักเพียง 38.8% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ส่วนราคาโลหะเงินพุ่งขึ้นขานรับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของจีน โดยล่าสุดคณะกรรมการกรมการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน (โปลิตบูโร) ให้คำมั่นว่าจะเพิ่มการใช้จ่ายด้านการคลังเพื่อให้จีนบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจและยับยั้งการทรุดตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ พร้อมกับสั่งการให้เร่งบังคับใช้มาตรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและปรับลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ตามที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้ประกาศไว้ในสัปดาห์นี้
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ประจำเดือนส.ค.ของสหรัฐฯ ในวันนี้ โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)