สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันจันทร์ (7 ต.ค.) โดยตลาดถูกกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และจากการที่นักลงทุนลดความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเดือนพ.ย. หลังจากสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขจ้างงานที่แข็งแกร่งเกินคาด
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 1.80 ดอลลาร์ หรือ 0.07% ปิดที่ 2,666.00 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 39 เซนต์ หรือ 1.20% ปิดที่ 32.004 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 14.60 ดอลลาร์ หรือ 1.46% ปิดที่ 987.10 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 27.80 ดอลลาร์ หรือ 2.78% ปิดที่ 1,026.30 ดอลลาร์/ออนซ์
นักลงทุนลดความคาดหวังที่ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเดือนพ.ย. หลังจากสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรที่สูงเกินคาด โดยล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 86% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนพ.ย. และให้น้ำหนัก 14% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนดังกล่าว
นอกจากนี้ การแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังสร้างแรงกดดันต่อตลาดทองคำ โดยทำให้สัญญาทองคำมีราคาที่ไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ปรับตัวขึ้นแตะระดับ 102.535
ปีเตอร์ แกรนท์ นักกลยุทธ์ด้านโลหะของบริษัท Zaner Metals กล่าวว่า การแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ได้สกัดแรงบวกของราคาทองคำ แต่เมื่อพิจารณาแนวโน้มในระยะสั้น เขาคาดว่าราคาทองคำจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 2,700 ดอลลาร์/ออนซ์ และในระยะยาวนั้นเขาคาดว่าราคาทองคำจะพุ่งขึ้นไปแตะที่ระดับ 3,000 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางและความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเป็นปัจจัยกระตุ้นแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย