สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเหนือระดับ 2,700 ดอลลาร์/ออนซ์ในวันศุกร์ (18 ต.ค.) โดยได้แรงหนุนจากความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในตะวันออกกลาง, ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเลือกตั้งในสหรัฐฯ และการคาดการณ์นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย ซึ่งผลักดันราคาทองคำพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงเป็นประวัติการณ์
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 22.50 ดอลลาร์ หรือ 0.83% ปิดที่ 2,730.00 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 1.46 ดอลลาร์ หรือ 4.59% ปิดที่ 33.234 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 18.70 ดอลลาร์ หรือ 1.86% ปิดที่ 1,024.50 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 39.50 ดอลลาร์ หรือ 3.78% ปิดที่ 1,084.90 ดอลลาร์/ออนซ์
การที่อิสราเอล, กลุ่มฮามาส และกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ยืนยันที่จะยังคงต่อสู้รบกันต่อไปในฉนวนกาซาและเลบานอนนั้น ได้ทำลายความหวังที่ว่า การตายของผู้นำกลุ่มฮามาสจะยุติสงครามในตะวันออกกลางลงได้
ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นทำให้นักลงทุนหันไปหาสินทรัพย์ที่ปลอดภัย เช่น ทองคำ เนื่องจากต้องการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง และมีความกังวลเกี่ยวกับความไร้เสถียรภาพในตลาดทั่วโลก
ข้อมูลจาก LSEG บ่งชี้ว่า ราคาทองคำทำลายสถิติหลายครั้งในปีนี้ เนื่องจากความคาดหวังเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลางต่าง ๆ และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ทำให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นมากกว่า 30% นับตั้งแต่ต้นปี ซึ่งถือเป็นการขยายตัว รายปีที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ปี 2522
อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำทำให้ทองคำมีความน่าสนใจมากขึ้น เพราะทองคำไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย
ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนธ.ค. เว้นแต่ว่าข้อมูลเศรษฐกิจจะบ่งชี้เป็นอย่างอื่น ขณะที่เครื่องมือ CME Fedwatch บ่งชี้ว่า นักลงทุนยังคงคาดว่า มีโอกาส 92% ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนพ.ย.
แม็กซ์ เลย์ตัน หัวหน้าฝ่ายวิจัยสินค้าโภคภัณฑ์ระดับโลกของซิตี้คาดว่า ราคาทองคำอาจแตะระดับ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า โดยทองคำถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงที่มีความไม่แน่นอนอย่างมากด้านเศรษฐกิจในสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งทำให้ความต้องการลงทุนในกองทุน ETF ทองคำเพิ่มขึ้น