ราคาทองฟิวเจอร์ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดดิ่งลงเกือบ 80 ดอลลาร์ ใกล้หลุดระดับ 2,630 ดอลลาร์ โดยได้รับผลกระทบจากการเทขายทำกำไรของนักลงทุน หลังราคาทองพุ่งขึ้นติดต่อกัน 5 วันทำการ แตะระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์เมื่อวันศุกร์
นอกจากนี้ ราคาทองยังถูกกดดันจากการที่นักลงทุนพากันเทขายทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย หลังมีรายงานว่า อิสราเอลใกล้ที่จะบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ รวมทั้งการที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ เสนอชื่อนายสก็อตต์ เบสเซนต์ ผู้ก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ "คีย์สแควร์ กรุ๊ป" ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังคนใหม่ของสหรัฐ ก็ได้ช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าของสหรัฐ
ณ เวลา 22.55 น.ตามเวลาไทย สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลบ 78.70 ดอลลาร์ หรือ 2.9% สู่ระดับ 2,633.50 ดอลลาร์/ออนซ์
นายเอเลียส โบซาบ รองประธานรัฐสภาเลบานอน กล่าวว่า เลบานอนใกล้บรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับอิสราเอลแล้ว
"เรากำลังเข้าใกล้ข้อตกลงหยุดยิง โดยอาจเกิดขึ้นในสัปดาห์นี้ หรือในอีก 10 วันข้างหน้า ซึ่งจะเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญ"
"เรามีความเชื่อมั่น มีความหวัง แต่เราก็ไม่อาจแน่ใจต่อการตัดสินใจของนายเนทันยาฮู" นายโบซาบกล่าว และเสริมว่า การตัดสินใจขั้นสุดท้ายสำหรับการหยุดยิงในเลบานอนจะขึ้นอยู่กับพัฒนาการในสนามรบ
ด้านสำนักข่าว Kan TV ของทางการอิสราเอลรายงานว่า การประกาศข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและเลบานอนอาจมีขึ้นในสัปดาห์นี้
ส่วนสำนักข่าว Axios รายงานโดยอ้างเจ้าหน้าที่ระดับสูงรายหนึ่งของสหรัฐระบุว่า ทางการอิสราเอลและเลบานอนได้ตกลงกันเกี่ยวกับเงื่อนไขในข้อตกลงหยุดยิงเพื่อยุติสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์
ทั้งนี้ อิสราเอลระบุในวันนี้ว่า รัฐบาลอิสราเอลใกล้ที่จะบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ โดยมีเพียงบางประเด็นที่ยังคงต้องเจรจาต่อไป ขณะที่เจ้าหน้าที่เลบานอนแสดงความเชื่อมั่นอย่างระมัดระวัง
ด้านสำนักข่าว CNN รายงานว่า นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ได้ให้การอนุมัติในหลักการต่อข้อตกลงหยุดยิงกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์แล้ว แต่อิสราเอลยังคงต้องการเจรจาในรายละเอียดบางประการ
ขณะเดียวกัน นักลงทุนมองว่านายเบสเซนต์จะดำเนินมาตรการที่เอื้อต่อตลาดหุ้น และจะทำให้เศรษฐกิจและตลาดการเงินของสหรัฐมีเสถียรภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ นายเบสเซนต์สนับสนุนการจัดเก็บภาษีนำเข้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป และผ่อนคลายกฎระเบียบเพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจสหรัฐ รวมทั้งทำการควบคุมเงินเฟ้อ และผลักดันการฟื้นตัวของภาคการผลิตสหรัฐ และความเป็นอิสระในอุตสาหกรรมพลังงาน
"ถ้าคุณกำลังคิดถึงเรื่องของตลาดและเรื่องที่มีความสำคัญ คุณเบสเซนต์ถือว่ามีความฉลาดหลักแหลมมาก มีเพียงไม่กี่คนที่จะรู้เรื่องของตลาดมากกว่าคุณเบสเซนต์" แหล่งข่าวรายหนึ่งกล่าว
ด้านนายเอ็ด มิลส์ นักวิเคราะห์จาก Raymond James Washington กล่าวว่า "ประสบการณ์ของคุณเบสเซนต์ในฐานะนักลงทุนด้านมหภาคจะทำให้เขามีความสามารถในการเข้าใจผลกระทบจากการใช้นโยบายการค้า การตั้งกำแพงภาษี การลดอัตราภาษีเงินได้ และการผ่อนคลายกฎระเบียบของคุณทรัมป์ ซึ่งถ้าคุณเบสเซนต์สามารถชะลอหรือจำกัดการใช้นโยบายตั้งกำแพงภาษีแบบครอบคลุมทุกรายการ ขณะที่ทำการขยายการปรับลดภาษีเงินได้และผ่อนคลายกฎระเบียบ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมสหรัฐและหนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ สิ่งนี้ก็จะได้รับการขานรับจากตลาด"
นักลงทุนจับตาดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ที่จะมีการเปิดเผยในวันพุธนี้ โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี PCE ทั่วไป (Headline PCE) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.3% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายปี หลังจากปรับตัวขึ้น 2.1% ในเดือนก.ย.
เมื่อเทียบรายเดือน คาดว่าดัชนี PCE ทั่วไป ปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนต.ค. หลังจากปรับตัวขึ้น 0.2% เช่นกันในเดือนก.ย.
ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน คาดว่าปรับตัวขึ้น 2.8% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายปี จากระดับ 2.7% ในเดือนก.ย.
เมื่อเทียบรายเดือน คาดว่าดัชนี PCE พื้นฐานปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนต.ค. หลังจากปรับตัวขึ้น 0.3% เช่นกันในเดือนก.ย.