สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันอังคาร (21 ม.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ท่ามกลางความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ
ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 10.50 ดอลลาร์ หรือ 0.38% ปิดที่ 2,759.20 ดอลลาร์/ออนซ์
ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ปรับตัวลง 1.2% ทำให้สัญญาทองคำซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาที่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ
ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรของปธน.ทรัมป์เป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย โดยหลังเสร็จสิ้นพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันจันทร์ (20 ม.ค.) ปธน.ทรัมป์ไม่ได้ประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรแบบครอบจักรวาล หรือ Universal Tariffs ซึ่งเป็นมาตรการที่จะส่งผลกระทบต่อสินค้าทุกรายการที่มีการนำเข้าสู่สหรัฐฯ แต่เขาส่งสัญญาณว่าอาจจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.
ปีเตอร์ แกรนท์ นักกลยุทธ์ด้านโลหะจากบริษัท Zaner Metals กล่าวว่า ขณะนี้นักลงทุนมุ่งความสนใจไปที่การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันที่ 28-29 ม.ค. โดยแม้ว่าเฟดมีแนวโน้มที่จะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันดังกล่าว แต่คาดว่าแถลงการณ์ของเฟดในการประชุมครั้งนี้จะสามารถบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยในปี 2568
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)