ราคาทองฟิวเจอร์ร่วงลงกว่า 1% ใกล้หลุดระดับ 2,740 ดอลลาร์ ขณะที่นักลงทุนจับตานโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
นอกจากนี้ นักลงทุนซื้อขายอย่างระมัดระวัง ก่อนการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลายแห่งในสัปดาห์หน้า
ณ เวลา 20.48 น.ตามเวลาไทย สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. ลบ 29.50 ดอลลาร์ หรือ 1.06% สู่ระดับ 2,741.40 ดอลลาร์/ออนซ์
ทั้งนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะจัดการประชุมในวันที่ 28-29 ม.ค. ขณะที่ธนาคารกลางแคนาดา (BOC) จัดประชุมในวันที่ 29 ม.ค. ตามมาด้วยธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันที่ 30 ม.ค. และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในวันที่ 30-31 ม.ค.
นักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดจะประกาศคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมรอบนี้ ขณะที่ BOC และ ECB จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ส่วน BOJ จะสวนทางด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25%
นอกจากนี้ นักลงทุนจับตาตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ และการกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุม World Economic Forum (WEF) ที่เมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในวันนี้
ทั่วโลกต่างจับตาการกล่าวสุนทรพจน์ของปธน.ทรัมป์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบการค้า ภาวะเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ในระดับโลก
การกล่าวสุนทรพจน์ผ่านระบบวิดีโอลิงค์ดังกล่าวจะมีขึ้น ณ เวลา 17.00 น.ตามเวลาสวิส หรือ 23.00 น.ตามเวลาไทย
เป็นที่ยอมรับกันว่า ปธน.ทรัมป์เป็นผู้นำโลกที่คาดเดาใจยาก และขณะนี้กำลังมีความมุ่งมั่นที่จะทำตามนโยบายหาเสียงที่ได้ให้ไว้ในการทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง (Make America Great Again!) หรือ MAGA ทำให้เขาสามารถออกมาตรการหลายอย่างเพื่อประโยชน์ของสหรัฐโดยแทบไม่สนใจต่อผลกระทบที่จะมีต่อประชาคมโลก
ทั้งนี้ ในการกล่าวสุนทรพจน์หลังการสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 47 เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า ยุคทองของอเมริกาได้เริ่มขึ้นแล้ว โดยสหรัฐจะมีความรุ่งโรจน์และกลับมาได้รับความเคารพอีกครั้งหนึ่ง
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมากสวนทางกับนโยบายของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งรวมถึงการนำสหรัฐถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO), การนำสหรัฐถอนตัวจากความตกลงปารีส ซึ่งเป็นความตกลงตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, การเปลี่ยนชื่อ "อ่าวเม็กซิโก" เป็น "อ่าวอเมริกา", การประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติทางชายแดนด้านใต้สหรัฐ และส่งกำลังทหารเข้าปกป้องชายแดนเพื่อสกัดการลักลอบเข้าเมืองจากเม็กซิโก รวมทั้งการประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานแห่งชาติเพื่อเพิ่มการขุดเจาะน้ำมัน วางท่อน้ำมัน และตั้งโรงกลั่นน้ำมัน
ขณะเดียวกัน ปธน.ทรัมป์ยังได้ขู่ที่จะทำการคว่ำบาตรรัสเซียครั้งใหม่ และจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากรัสเซียในระดับสูง หากรัสเซียไม่ยอมบรรลุข้อตกลงเพื่อยุติสงครามกับยูเครน และได้ขู่ที่จะเรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาในวันที่ 1 ก.พ. และเก็บภาษีเพิ่มอีก 10% ต่อสินค้าที่นำเข้าจากจีน รวมทั้งขู่ที่จะเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากยุโรป