สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลดลงในวันศุกร์ (21 ก.พ.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากราคาทองคำแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันพฤหัสบดี อย่างไรก็ตาม ราคาสัญญาทองคำยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 8 โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับแผนการขึ้นภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย. ลดลง 2.90 ดอลลาร์ หรือ 0.10% ปิดที่ 2,953.20 ดอลลาร์/ออนซ์
อเล็กซ์ เอบการ์เรียน จาก Allegiance Gold กล่าวว่า "ราคาทองที่ทำสถิติสูงสุดใหม่ มักจะตามมาด้วยแรงขายทำกำไร ซึ่งเป็นเรื่องปกติ... แต่ปัจจัยพื้นฐานของทองคำยังคงแข็งแกร่ง"
ในปีนี้ ราคาทองคำพุ่งขึ้นแล้ว 11.5% และในสัปดาห์นี้ทำสถิติสูงสุดใหม่ถึง 2 ครั้ง โดยนักลงทุนให้ความสนใจถือครองทองคำมากขึ้น เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและความไม่มั่นคงทางการเมือง
นักวิเคราะห์จาก Commerzbank ระบุว่า "ความต้องการทองคำในขณะนี้ได้รับแรงหนุนจากนักลงทุนตะวันตกและธนาคารกลาง นอกจากนี้ นักลงทุนใน ETF (กองทุนทองคำ) ก็เริ่มเข้ามาซื้อทองคำเพิ่มขึ้นเช่นกัน"
แผนการปรับขึ้นภาษีนำเข้ารอบใหม่ของทรัมป์ที่ประกาศเมื่อต้นสัปดาห์นี้ครอบคลุมถึงสินค้าประเภทไม้แปรรูปและผลิตภัณฑ์จากป่าไม้ ซึ่งเป็นการเพิ่มจากแผนเดิมที่มีการขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ เซมิคอนดักเตอร์ และยา
ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ได้ประกาศเก็บภาษีเพิ่มเติม 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน และ 25% สำหรับเหล็กและอะลูมิเนียม
เอบการ์เรียนกล่าวว่า "บทบาทของทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยยังไม่ชัดเจนมากนัก เพราะเงินทุนยังไม่ได้ไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงเข้าสู่ทองคำมากเท่าที่ควร"
นอกจากนี้ บรรดานักลงทุนยังติดตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เนื่องจากนโยบายของทรัมป์อาจทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจกดดันให้เฟดคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงต่อไป และการคงอัตราดอกเบี้ยสูงอาจลดความน่าสนใจของทองคำ เนื่องจากทองคำไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย