สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพฤหัสบดี (27 ก.พ.) โดยตลาดถูกกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐฯ ในวันนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย. ลดลง 34.70 ดอลลาร์ หรือ 1.18% ปิดที่ 2,895.90 ดอลลาร์/ออนซ์
ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ปรับตัวขึ้นกว่า 0.7% ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาด เนื่องจากการแข็งค่าของดอลลาร์ทำให้สัญญาทองคำซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาที่ไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ
อย่างไรก็ดี อล็กซ์ เอบคาเรียน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการของบริษัท Allegiance Gold แสดงความเห็นว่า ตลาดทองคำยังคงมีทิศทางที่ชัดเจน และการที่ราคาทองชะลอตัวลงในระยะสั้นหรือการมีแรงขายทำกำไรเข้ามาบางส่วนนั้น ถือเป็นเรื่องปกติตามวัฏจักร โดยเขาคาดการณ์ว่าราคาทองคำมีแนวโน้มที่จะดีดตัวขึ้นทะลุระดับ 3,000 ดอลลาร์/ออนซ์ภายในช่วง 30-60 วันข้างหน้า ซึ่งจะขึ้นอยู่กับปฏิกิริยาของตลาดที่มีต่อมาตรการภาษีศุลกรกร
รายงานล่าสุดระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ยืนยันผ่านทางแพลตฟอร์ม Truth Social ในวันพฤหัสบดีว่า สหรัฐฯ จะเดินหน้าเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในอัตรา 25% ตามกำหนดเดิมในวันที่ 4 มี.ค. และจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 10% โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 มี.ค.เช่นกัน
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐฯ ในวันนี้ โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)