สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันพฤหัสบดี (13 มี.ค.) โดยราคาทองคำเคลื่อนตัวเข้าใกล้หมุดหมายสำคัญที่ระดับ 3,000 ดอลลาร์ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีศุลกากรเป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย นอกจากนี้ ราคาทองคำยังได้ปัจจัยบวกจากการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลังจากเงินเฟ้อชะลอตัวลง
ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 44.50 ดอลลาร์ หรือ 1.51% ปิดที่ 2,991.30 ดอลลาร์/ออนซ์
ราคาทองคำปิดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 3 เนื่องจากนักลงทุนเดินหน้าเข้าซื้อทองคำ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้า โดยสหภาพยุโรป (EU) ประกาศเรียกเก็บภาษีวิสกี้ที่นำเข้าจากสหรัฐฯ ในอัตรา 50% เพื่อตอบโต้สหรัฐฯ ที่เรียกเก็บภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมจากยุโรป ซึ่งส่งผลให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ผ่านทางแพลตฟอร์ม Truth Social ว่าจะรียกเก็บภาษีผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์และไวน์นำเข้าจาก EU สูงถึง 200%
แมคควอรี กรุ๊ป (Macquarie Group) คาดการณ์ว่าความต้องการถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่เพิ่มสูงขึ้น จะเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาทำสถิติสูงสุดที่ระดับ 3,500 ดอลลาร์/ออนซ์ในไตรมาส 3 ปีนี้
ราคาทองคำยังได้ปัจจัยหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย หลังจากดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ต่างก็ชะลอตัวลงมากกว่าคาดในเดือนก.พ.
รายงานระบุว่า กองทุน SPDR Gold Trust เพิ่มการถือครองทองคำสู่ระดับ 907.82 เมื่อวันที่ 25 ก.พ. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2566 ขณะที่ธนาคารกลางจีนซื้อทองคำติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 ในเดือนก.พ.